A sequence of words. Even the English language with Thailand will have the format verb-Chief + + Karma the same example I love you I love you, but the time to put the extended sequence in the sentence to be different, I have a red purse, it is I have a red bag. Additionally, the opening sentence is a question, in English, it will move the verb come in front of the President, both as a language, such as Thailand, that is her boyfriend? Is that your boyfriend? "to her name, what is your name What? (. What is her name). Did his dad tell him not to worry this simple sentence? "because it's all translated terminology, but if they write it themselves in the first place. Brethren believe that many people wouldn't be sure to read the words (thou shalt translate the following sentence into English. "His father told him not to worry about that?"). A matter of time and a different Tense ภาษาไทยไม่ต้องเปลี่ยนรูปตามกาล จะกินเมื่อวาน วันนี้ หรือพรุ่งนี้ ก็ยังคง “กิน” อยู่วันยังค่ำ แต่ภาษาอังกฤษกลับมีตั้ง 12 Tenses ทั้งอดีตของอดีต ทำแล้วจบแล้วในอดีต ทำแล้วแต่ยังไม่จบ จะทำแบบแน่นอน จะทำแบบยังไม่แน่นอน หรือแม้แต่กาลปัจจุบันอย่าง Present Simple Tense ที่กริยายังต้องเติม –s, -es เมื่อประธานเป็นเอกพจน์อีก ตอนเด็กๆ พี่ก็เคยสงสัยค่ะว่ามันจะทำมาเยอะแยะทำไม แต่พอคิดได้ว่าคำตอบคงอยู่ที่คนคิดภาษาอังกฤษซึ่งไม่รู้ว่าจะไปเจอได้ที่ไหนแล้ว พี่เลยเปลี่ยนมาจำว่ามันมี Tense อะไรบ้าง แต่ไปสงสัยเรื่องการใช้แต่ละ Tense ให้ถูกต้องแทน (ต้องบอกว่าการสงสัยแบบหลังนี่เกิดประโยชน์มากกว่ากันเยอะ) เคล็ดลับ : เขียนภาษาอังกฤษให้แจ่มเหมือนเจ้าของภาษา!!เครื่องหมายวรรคตอน ภาษาไทยใช้เครื่องหมายวรรคตอนไม่บ่อยมากนัก เมื่อจบประโยคก็ไม่ต้องใส่จุดด้วย (มหัพภาค) แต่ภาษาอังกฤษต้องจบประโยคด้วยจุด เพราะภาษาไทยใช้การเว้นวรรคแสดงการจบประโยคอยู่แล้ว แต่ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่เขียนเว้นวรรคทุกคำจึงต้องมีจุดแสดง ส่วนประโยคคำถาม ในภาษาไทยก็ไม่นิยมใช้เพราะแต่เดิมไทยไม่มีเครื่องหมายปรัศนี (?) จนกระทั่งรู้จักภาษาต่างประเทศ และถือว่ามีคำไทยที่รวมความเป็นเครื่องหมายคำถามเข้าไปในตัวอยู่แล้ว จึงไม่ต้องแสดงเครื่องหมายคำถามอีก เช่น กี่, ใคร, อะไร In addition, Thailand has also yamok language. (Lol), Paiyan (), (etc.) paiyan English doesn't have English as the fastidious subject a lot of punctuation. There are many rules, but the "paragraph" Thailand focus on language as the main language of paragraph Thailand instead of punctuation in the English language has many more. Cause is another problem to write, because, guess what, "paragraph", this should be marked? An aphorism proverb Idiom แต่ละภาษามีสุภาษิต คำพังเพย และสำนวนต่างกันตามวัฒนธรรมและลักษณะของประเทศนั้นๆ อย่างหนีเสือปะจระเข้ จะกลายเป็นหนีกระทะทอดไปเจอกองไฟทันที (Out of the frying pan and into the fire) หรือเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตามก็เป็นเข้ากรุงโรมต้องทำตามชาวโรมัน (When in Rome do as the Romans do) ซึ่งเวลาจะใช้คนไทยคงนึกไม่ถึงกรุงโรมแน่ๆ ถ้าจะเปรียบเทียบก็น่าจะเลือกอาณาจักรที่ไทยเราคุ้นเคยมากกว่าอย่างกรุงอโยธยา ถึงสำนวนพวกนี้ไม่สามารถแปลตรงตัวได้ แต่โชคดีที่ปัจจุบันมีแหล่งข้อมูลมากมายที่ช่วยให้เรารู้ว่าอันไหนเป็นอันไหน ทำให้ไม่ต้องพยายามแปลเองผิดๆ ถูกๆ อีกแล้วค่ะ (พี่พิซซ่า เคยรวบรวมสำนวนที่ใช้สัตว์เปรียบเทียบไว้ ไปดูได้ที่นี่ค่ะ) เคล็ดลับ : เขียนภาษาอังกฤษให้แจ่มเหมือนเจ้าของภาษา!!ไม่รู้คำศัพท์ จริงๆ ปัญหานี้แก้ได้ง่ายมากเพราะมีพจนานุกรมตั้งหลายประเภท แต่ที่เป็นปัญหาจริงๆ น่าจะเป็นการใช้ไม่เป็นมากกว่า ไม่รู้ว่าคำนี้ใช้ในประโยคนี้ได้หรือไม่ หรือว่าคำนี้มีความหมายด้านบวกหรือลบ หรือไม่แน่ใจว่ามันให้ความหมายตรงกับที่คิดไว้ในหัวรึเปล่า ฉะนั้นต้องมีพจนานุกรมอังกฤษ-อังกฤษติดไว้ด้วยอีกเล่มหนึ่งค่ะ เลือกเล่มที่อธิบายความหมายเยอะๆ และยกตัวอย่างเยอะมากๆ จะได้เห็นภาพมากขึ้นว่าคำที่เราเลือกจากพจนานุกรมไทย-อังกฤษไปใช้นั้น มันถูกต้องจริงๆ แล้วรึยัง ไม่รู้จะเขียนอะไร/ไม่มีอะไรจะเขียน ข้อนี้จัดเป็นปัญหาการเขียนแบบไม่ขึ้นกับภาษา อย่างนี้แสดงว่าต่อให้เป็นภาษาไทยก็ยังไม่รู้จะเขียนอะไรอยู่ดี ซึ่งพี่ไม่สามารถช่วยได้ค่ะ 5555
เคล็ดลับ : เขียนภาษาอังกฤษให้แจ่มเหมือนเจ้าของภาษา!!
วิธีที่ดีที่สุดคือคิดเป็นภาษาอังกฤษไปเลยค่ะ ห้ามคิดเป็นภาษาไทยแล้วแปลกลับเป็นภาษาอังกฤษ เพราะรายละเอียดหลายๆ อย่างอาจจะตกหล่นระหว่างการแปลได้ แต่พี่ก็เข้าใจค่ะว่ามันพูดง่ายแต่ทำยากสำหรับใครหลายๆ คน เพราะมันต้องอาศัยความคุ้นเคย ถึงจะทำให้คิดเป็นภาษาอังกฤษได้เลย แต่ทุกคนสามารถทำได้ด้วยการฝึกฝนทักษะภาษาอังกฤษอย่างสม่ำเสมอ จะเป็นการฟังหรืออ่านก็ได้ เพื่อสร้างความคุ้นเคยในการใช้ภาษาค่ะ แต่ในระหว่างที่ยังไม่คุ้นกับการใช้ภาษาอังกฤษ ก็มีวิธีช่วยพัฒนาทักษะการเขียน ดังนี้
การเขียนร่างหลายๆ ครั้งหรือเขียนแล้วทบทวนแก้ไขหลายรอบ อย่าเขียนครั้งเดียวส่งค่ะ ร่างเสร็จก็ตรวจทานใหม่ ถ้าเป็นการบ้านที่อีกนานกว่าจะส่งก็ให้รีบทำแต่เนิ่นๆ ตรวจรอบแรกแล้วทิ้งไว้ซัก 3 วันมาอ่านอีกที แก้ไขแล้วก็เว้นไว้อีก 5 วันมาแก้อีกรอบ ควรเว้นจังหวะระหว่างการแก้ไขแต่ละครั้งด้วย (เหมือนแต่งนิยาย) ครั้งหลังๆ มาอ่านก็จะรู้สึกว่า “วันนั้นฉันเขียนอะไรลงไปเนี่ย”
จับอะไรรวมกันได้ก็รวมเข้าด้วยกัน ถ้าน้องๆ รู้สึกว่าทำไมงานเขียนตัวเองมันดูพื้นๆ มากเลย มีแต่ I am. He is. They are. เต็มไปหมด เช่น He has beautiful eyes. They are green. He is looking right at me. ก็ลองรวมเป็น His beautiful green eyes are looking right at me. ซึ่งสามารถฝึกการแปลงรูปประโยคได้จากการอ่านและฟังเยอะๆ ดูหนังฟังเพลงจัดเต็มไปเลยค่ะ
เคล็ดลับ : เขียนภาษาอังกฤษให้แจ่มเหมือนเจ้าของภาษา!!
ลองอ่านออกเสียงเผื่อสะดุด การอ่านออกเสียงทำให้เราได้ใช้ประสาทสัมผัสเพิ่มมากขึ้น ซึ่งประสาทสัมผัสที่เพิ่มขึ้นก็เหมือนกับตัวช่วยตรวจสอบที่เพิ่มขึ้น บางทีพูดไปพูดมาน้องก็อาจจะรู้สึกแปลกๆ ขึ้นมากับบางประโยค
ขยันพิมพ์ภาษาอังกฤษในสเตตัส ใครจะว่าก็ช่าง แต่เราทำเพื่อพัฒนาทักษะตัวเอง เวลาอยากจะเม้าธ์หรือวิจารณ์หนังที่เพิ่งไปดูมา ก็ลองเปลี่ยนมาอัพสเตตัสเป็นภาษาอังกฤษแทน พยายามแสดงเหตุผลไปเยอะๆ พระเอกหล่อยังไง ตัวโกงดีเลวยังไง ดนตรีประกอบเพราะมั้ย เขียนไปตามใจชอบเลยค่ะ เพื่อนในเฟซบ
การแปล กรุณารอสักครู่..