สาเหตุขแงความขัดแย้งหากพิจารณาอย่าง

สาเหตุขแงความขัดแย้งหากพิจารณาอย่างผิวเผินความขัดแย้งนี้ เป็นเรื่อง "บุคคล" ระหว่างอดีตนายารัฐมนตรีกับฝ่านค้าน แต่ต้นเหตุที่แท้จริง มีรากฐานมาจากความขัดแย้งเชิงโครงสร้างเศรษกิจและทางสังคม โดยรากฐานสำคัญก็คือความขัดแย้งในการจัดสรรทัพยากรและความมั่งคั่ง ระหว่าง คนรวย และ คนจน รวมถึงแนวความคิดและความคาดหวังต่อระบอบประชาธิปไตยที่ต่างกัน
เมื่อปี 2504 ประเทศไทยได้ประกาศใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม โดนเน้นการพลิตเพื่อทดแทนการนำเข้า (Import Substitution) และ เปลี่ยนแผนการผลิตเพื่อการส่งออก (Export Oriented) ส่งผลให้เกษตรกรที่เคยเป็นรายได้หลักของประเทศไม่ได้รับความสำคัญ
จากนโยบายดังกล่าง ทำให้เกิดความกระจุกตัวของความมั่งคั่ง (คนรวยมีอำนาจต่อรองในระบบเศรษฐกิจ) ก็เกิดคนจนที่เป็นเกษตรกร จากโครงสร้างที่ไม่ทัดเทียมกันทางเศรษฐกิจในสังคมไทย ทำให้เกิดผลกระทบต่อการเมืองเช่นกัน (คนจนและเกษตรกร ไม่มีอำนาจต่อรองในระบบเศรษฐกิจ ทำให้้ต้องพึ่งพิงคนรวย ส่งผลให้คนรวยเป็นผู้มีอิธิพล และได้รับความไว้วางใจให้เจ้ามาทำหน้าที่ในฐานะผู้แทบราษฎรในระบอบประชาธิปไตย และก้าวไปสู้อำนาจรัฐในฐานะรัฐมนตรี
การที่ระบบเศรษฐกิจไทยไม่ใช่ระบบเศรษฐกิจเสรีที่อาศัยกลไกตลาดเต็มที่ การเข้าสู่อำนาขทางการเมืองจีงไม่ได้หมายถึงการมีอำนาจเท่านั้น แต่หมายถึงโอกาสทางธุรกิจและเศษรฐกิจที่จะเกิดขึ้นจากการมีอำนาจผลกระทบการเมืองต่อเศรษฐกิจเศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบจากปัญหาการเมืองมาก แต่ในขณะเดียวกัน การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกส่งผลให้การส่งออกสินค้าของประเทศไทยพยุงเศรษฐกิจไทยไว้ได้เหตุุชุมนุมทางการเมือง เมื่อเดือนเมษายน2553 ต่อเนื่องถึงเดือนพฤษภาคม ทำให้นักลงทุนต่างชาติไม่มั่นใจต่อสถานการณ์ทางการเมืองของไทย และตัดสินใจชะลอการเข้ามาลงทุน ในขณะเดียวกับผลกระทบจากการชุมนุมทางการเมืองฉุดรายได้จากภาคท่องเที่ยวของ ไทยในช่วงเดือนเมษายนและพฤษภาคมลดลง
ผลกระทบทางเศรษฐกิจโดยเฉพาะภาคท่องเที่ยวภาพการสลายการชุมนุมที่มีความรุงแรง มีการใช้อาวุธปะทะกัน ได้เผยแพร่ไปทั่วโลก หลายประเทศได้มีการห้ามและงดการออกวีซ่าให้กับนักเดินทางที่จะเดินทางมาประเทศไทย ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณณ์และความเชื่อมั่นในการท่องเที่ยวและความปลอดถึง ถึงแม้ว่าการลงทุนระยะสั้นหรือระยะกลาง อาจจะกระทบไม่มากนัก แต่สพหรับการลงทุนระยะยาว,นักลงทุนที่ไม่เคยลงทุนใรประเทศไทยชะลอตัวลง ถึงแม้ว่าอาจจะไม่เสียหายมากอย่างที่คาดการณ์ไว้ แต่ก็ทำความเชื่อมั่นของสังคมโลกต่อประเทศไทย ถูกกระทบอย่างรุนแรงแบบที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ผลการชุมนุมทางการเมืองในปี 2553 ได้ทำให้ดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจ ประจำเดือนเมษายน (2553) ปรับตัวลดลงและถือเป็นการปรับลดลงมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ ที่สำคัญดัชนีความเชื่อมั่นได้ปรับลดลงทุกองค์ประกอบโดยเฉพาะการผลิต ภาคการค้า และบริการทั้งธุรกิจโรงแรมและภัตตาคาร อันเป็นผลจากเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมือง สถิตินักท่องเที่ยวต่างชาติได้ลดลงอย่าชัดเจน (ลดลงเกือบ 5 แสนคน)