4.แจ็ค โอ แลนเทิร์น (Jack-O-Lantern) และฟักทอง
แจ็ค จอมตืด (Stingy Jack) เป็นคนขี้เมา น่ารังเกียจ และมีนิสัยเจ้าเล่ห์ชอบเล่นกลโกง แม้กระทั่งกับยมทูต มีอยู่ครั้งหนึ่งยมทูตได้มาเอาวิญญาณของแจ็ค แต่แจ็คได้ขอแอปเปิลจากยมทูต บอกว่าเป็นคำขอครั้งสุดท้ายของเขาก่อนที่จะตาย เพื่อหลอกให้ยมทูตปีนขึ้นต้นแอปเปิล
ในขณะที่ยมทูตกำลังปีนขึ้นต้นแอปเปิลอยู่นั้น แจ็คได้แอบวางไม้กางเขนไว้รอบต้นแอปเปิลจนยมทูตไม่สามารถลงจากต้นแอปเปิลได้ แจ็คเลยหลอกให้ยมทูตตกลงทำสัญญาว่าจะไม่เอาวิญญาณเขาไปนรกเพื่อแลกกับการจะเอาไม้กางเขนออกจากต้นแอปเปิลที่ล้อมรอบเอาไว้ ในสถานการณ์เช่นนั้นยมทูตเลยต้องจำยอมตกลง
และในเวลาหลายปีต่อมา แจ็คได้เสียชีวิตลง เพราะการดำเนินชีวิตที่ผิดพลาดและประมาท บาปที่เขาได้กระทำตอนมีชีวิต ทำให้สวรรค์สั่งห้ามแจ็คเข้ามาสู่ดินแดนแดนสวรรค์ แต่ยมทูตก็ไม่สามารถเอาวิญญาณของเขาไปลงสู่ดินแดนนรกได้ เพราะความเจ้าเล่ห์ของแจ็คที่ได้ทำสัญญาขอชีวิตไว้ตอนมีชีวิตอยู่ ยมทูตจึงได้ให้ก้อนถ่านไฟที่ยังไม่มอดกับแจ็คเพื่อเป็นแสงไฟส่องนำทาง
จนในที่สุดจุดจบของแจ็คต้องกลายเป็นวิญญาณที่เดินทางร่อนเร่ไปในดินแดนที่อยู่ระหว่างดินแดนสวรรค์และนรก ในขณะที่แจ็คเดินทางร่อนเร่อยู่นั้นได้นำก้อนถ่านไฟที่ยังไม่มอดไปไว้ในหัวผักกาดเพื่อใช้เป็นโคมไฟในการถือส่องนำทาง และในคืนวันฮาโลวีนจึงมีผู้คนเล่าขานกันมาว่าได้เห็นวิญญาณของแจ็คเดินถือโคมไฟเดินร่อนไปมา
ชาวไอริชจึงแกะสลักหัวผักกาดเทอนิพ และใส่ไฟในด้านใน อันเป็นอีกสัญลักษณ์ของวันฮาโลวีน โดยคนไอริชเรียกผีแจ็คกับตะเกียงว่า Jack of Lantern แต่ในอเมริกาสามารถหาฟักทองได้ง่ายกว่าหัวผักกาด ทั้งยังมีขนาดใหญ่กว่าจึงหันมาแกะสลักฟักทองแทนหัวผักกาด
5. แอปเปิ้ล มีไว้สำหรับเล่นเกม "bobbing for apples" ลูกอมและขนม มีไว้สำหรับเล่นเกม"Trick or Treat?"
bobbing for apples
เกมส์แอปเปิลจุ่มน้ำ โดยมีวิธีเล่นคือ การเอาแอปเปิลไปแช่ไว้ในถังหรือกะละมังแล้วผู้เล่นต้องคาบแอปเปิลออกจากถัง ซึ่งอาจมีการเปลี่ยนแปลงรูปการละเล่นไปบ้าง เช่น นั่งคุกเข่าบนเก้าอี้ แล้วคาบส้อมไว้ แล้วพยายามปล่อยส้อมให้ไปจิ้มบนลูกแอปเปิล
บางเกมที่เล่นในวันฮาโลวีนมักจะเป็นไปในทางการทำนายทายทัก เช่น ชาวไอริชและสก็อตติชจะทำนายเนื้อคู่โดยการปอกเปลือกแอปเปิลให้เป็นเส้นยาวโดยไม่ขาดจากกัน แล้วโยนเปลือกนั้นข้ามไหล่ไป เปลือกแอปเปิลนั้นก็จะปรากฎเป็นตัวอักษรนำหน้าชื่อเนื้อคู่ของเรา ซึ่งความเชื่อนี้ ถูกนำเข้ามาจากผู้ที่ย้ายถิ่นฐานชาวไอริชและสก็อตติชในแถบชนบทของอเมริกา