บริษัท โอ.พี. เนเชอรัล โปรดักส์ จำกัด ได้ดำเนินกิจการในการผลิต และจำหน่ายผลิตภัณฑ์ ประเภทเสริมความงาม มาตั้งแต่ปี 2533 ภายใต้ชื่อสินค้า "โอเรียนทอล พริ้นเซส (ORIENTAL PRINCESS)" มี ทุนจดทะเบียน 78 ล้านบาท โดยมีคุณศรีพันธ์ กุณะมาดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการของบริษัทในปัจจุบัน
สำหรับจุดเริ่มต้นของบริษัท เริ่มจากการที่ผู้บริหารมองเห็นความสำคัญ และแนวโน้มการเติบโตของผลิตภัณฑ์ที่ได้มาจากธรรมชาติ จึงทำให้สินค้าโอเรียนทอล พริ้นเซสเข้าสู่ตลาดในฐานะผู้ริเริ่มผลิตภัณฑ์เสริมความงามที่ผสมสารที่สกัดได้จากธรรมชาติเป็นรายแรกๆ ของเมืองไทย และจากการออกแบบสินค้าที่เน้นความมีเอกลักษณ์ ความหรูหรา และมีสไตล์ของบรรจุภัณฑ์ตั้งแต่ต้น ทำให้สินค้านี้ประสบความสำเร็จ และมีแนวโน้มยอดขายเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี
การปฏิบัติที่ดี
บริษัทฯ ซึ่งถือว่าเป็นผู้นำในผลิตภัณฑ์ชนิดนี้ ก็เนื่องจากความสามารถในการเล็งเห็นถึงความต้องการในอนาคตของสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ที่ได้จากส่วนผสมของธรรมชาตินั้น นับเป็นก้าวย่างสำคัญที่ช่วยให้บริษัทฯล้ำหน้าผู้ผลิตรายอื่นๆ ไปหลายช่วงตัว แต่การจะรักษาก้าวย่างให้อยู่นำหน้าผู้อื่นไปโดยตลอดนั้น เป็นสิ่งที่ยากยิ่งกว่า ฉะนั้น ธุรกิจที่ต้องการคงความเป็นผู้นำต่อไป จึงไม่อาจนิ่งเฉยได้ ทุกรายละเอียดต้องพัฒนาไม่หยุดยั้ง เฉกเช่นการเอาใจใส่และการให้ความสำคัญต่อบรรจุภัณฑ์ โดยในเบื้องต้น ผลิตภัณฑ์เน้นที่ความเป็นผู้หญิงด้วยดีไซน์แบบอังกฤษโบราณเป็นลักษณะรูปกลมมน ชื่อตราสินค้าเป็นภาษาอังกฤษโบราณ แต่มีระดับ หรูหรา และสะดุดตา ซึ่งต่อมาลักษณะขวดบรรจุภัณฑ์ ได้มีการพัฒนาให้มีริ้วรอยที่ขวด และเป็นทรงอ้วนๆ ป้อมๆ หรือที่เรียกกันติดปากว่า ขวดทรงฟักทอง ทำให้ผลิตภัณฑ์ภายใต้ชื่อ โอเรียนทอล พริ้นเซส มีลักษณะเฉพาะตัว และเป็นเอกลักษณะเด่นของผลิตภัณฑ์
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการเข้ามาของสินค้ายี่ห้อใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นสินค้าที่ผลิตได้ภายในประเทศ หรือสินค้าที่นำเข้ามาจำหน่ายจากต่างประเทศ ทำให้บริษัทมีความจำเป็นจะต้องพัฒนาผลิตภัณฑ์อยู่ตลอดเวลา รวมถึงการออกแบบบรรจุภัณฑ์ใหม่ๆ ที่คำนึงถึงประโยชน์ ความสะดวก และความปลอดภัยจากการใช้สอยตามสถานที่ต่างๆ ของลูกค้า เช่น การหลีกเลี่ยงการใช้วัสดุที่ทำจากแก้วสำหรับสินค้าที่จะต้องนำไปใช้ในห้องน้ำ ทั้งนี้เพื่อเหตุผลด้านความปลอดภัย การนำเอาพลาสติกมาใช้สำหรับสินค้าที่ต้องการพกพา หรือนำไปใช้ในที่ต่างๆ ซึ่งทำให้ผลิตภัณฑ์มีน้ำหนักเบาและสะดวกมากยิ่งขึ้น การเลือกใช้วัตถุดิบในการทำสติ๊กเกอร์ เพื่อป้องกันการลอกจากการโดนความชื้น และการไหลเยิ้มของตัวกาว เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังมีกลยุทธ์ทางด้านการกระจายสินค้า ที่บริษัทได้สร้างช่องทางการจำหน่ายสินค้าเอาไว้ อย่างมั่นคง กล่าวคือ ในปี 2545 บริษัทได้สร้างช่องทางจำหน่ายที่เป็นค้าปลีก (Retail) ในรูปแบบของ ร้านแสดงสินค้า และมุมแสดงสินค้าตามห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั้งสิ้น 148 แห่ง โดยมีแผนที่จะเพิ่มขึ้นอีกอย่างน้อย 20 แห่ง ในอนาคต
การจำหน่ายสินค้า ยังดำเนินการผ่านการส่งเสริมการขายแบบสมาชิก ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ประมาณหนึ่งแสนสามหมื่นคนทั่วประเทศ อีกทั้งยังมีการทำโปรแกรมส่งเสริมการขาย ณ จุดขาย ซึ่งทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด (ยอดขายของบริษัทฯปี 2543 เท่ากับ 311.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเป็น 348.4 ล้านบาทในปี 2544) นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนในการขยายกลุ่มเป้าหมายจากกลุ่มลูกค้าเดิมที่เน้นเฉพาะผู้หญิง ก็จะมีการทำตลาดสำหรับกลุ่มลูกค้าผู้ชายเพิ่มเติม
การสร้างตราสินค้า และภาพลักษณ์ของสินค้านั้น มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ดังจะเห็นได้จากการออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่เน้นความมีเอกลักษณ์ ความหรูหรา และมีสไตล์ การวางขายสินค้าเฉพาะในสถานที่ลูกค้าเป็นผู้มีกำลังซื้อในระดับหนึ่ง การมีพนักงานขายที่มีความชำนาญและหน้าตาดีในการให้ข้อมูลผลิตภัณฑ์ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ล้วนเป็นการสร้างภาพลักษณ์ และความน่าเชื่อให้กับผลิตภัณฑ์โดยตรง
นอกจากนี้ บริษัทยังแบ่งกลุ่มลูกค้าทางการตลาดที่ชัดเจน โดยการแบ่งกลุ่มเป้าหมาย การจำหน่ายสินค้าออกเป็น 2 กลุ่ม ซึ่งแต่ละกลุ่มก็จะมีชุดผลิตภัณฑ์ ที่ทำการตลาดไม่เหมือนกัน กล่าวคือ กลุ่มลูกค้าที่เป็นกลุ่มวัยรุ่น อายุประมาณ 18-25 ปี คือ นักศึกษาจนถึงวัยทำงานช่วงต้น ในกลุ่มนี้บริษัทจะเลือกผลิตภัณฑ์ในชุด Ideal ในการทำตลาด และสำหรับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่เป็นกลุ่มคนทำงาน บริษัทจะเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ในชุด Beneficial ที่เน้นความหรูหราและมีระดับมากกว่า เพื่อให้สอดคล้องกับลักษณะและพฤติกรรมของลูกค้าในแต่ละกลุ่ม
ปัจจัยความสำเร็จ
การเริ่มดำเนินธุรกิจ โดยการรุกหรือเปิดตลาดใหม่ๆนั้น ดังที่ทราบกันดีว่า ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ในการทำ ธุรกิจให้คงอยู่ได้ และประสบความสำเร็จ ท่ามกลางกระแสการแข่งขันที่มีสูงขึ้น และการแทรกตัวเข้ามาสำหรับผู้ประกอบการรายใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา
ตลอดระยะเวลา 10 ปีเศษที่ผ่านมา บริษัทโอ.พี.เนเชอรัล โปรดักส์ได้แสดงให้เห็นว่า บริษัทสามารถสร้าง กิจการและฟันฝ่าความยากลำบากนั้นมาได้ อีกทั้งยังได้วางลู่ทางการเติบโตอย่างต่อเนื่องของบริษัทต่อไปในอนาคตทั้งนี้ปัจจัยแห่งความสำเร็จของบริษัทอาจระบุได้ดังนี้
การมองเห็นความต้องการของตลาดที่มีในอนาคต
การมองเห็นความต้องการสินค้าและโอกาสทางการตลาดในอนาคต เป็นปัจจัยเบื้องต้นในการประกอบการหรือเริ่มต้นธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ ทั้งนี้การคาดการณ์ จะต้องมีความถูกต้องแม่นยำเพียงพอ เพื่อที่จะลดความเสี่ยง หรือความผิดพลาดที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ ในกรณีนี้ ผู้ก่อตั้งบริษัทสามารถมองเห็นความต้องการสินค้า หรือผลิตภัณฑ์ที่มีการมุ่งใช้ประโยชน์จากสารสกัดที่ได้จากธรรมชาติ ซึ่งเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว ความนิยมนี้ยังไม่เป็นที่กว้างขวางเท่าไรนัก อย่างไรก็ตาม ความเชื่อมั่นในแนวความคิดและความกล้าในการเข้ามาสู่ตลาดนี้ ทำให้บริษัทก้าวเข้ามาอยู่ในฐานะผู้บุกเบิกธุรกิจนี้ก่อนใคร ทำให้สามารถสร้างฐานลูกค้าได้ก่อนผลิตภัณฑ์จากผู้ประกอบการรายอื่นๆที่ตามมาภายหลัง
กระแสความนิยมผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ
การเพิ่มขึ้นของกระแสความนิยมที่มีต่อผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมหรือได้มาจากธรรมชาติของประชาชน มีส่วนทำให้มูลค่าการตลาดของผลิตภัณฑ์เหล่านี้สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้บริษั