แนวคิด เรื่อง Unified Process (UP)

แนวคิด เรื่อง Unified Process (UP) โดยความหมายแล้ว คือ กระบวนการทางวิศวกรรมซอฟต์แวร์ที่เกิดจากการรวมเอาสิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญทางการพัฒนาซอฟต์แวร์ (Software engineer) ที่เคยกำหนดไว้และใช้แล้วได้ผลดีในการพัฒนาซอฟต์แวร์นั้นมารวมกัน โดยเลือกแต่เทคนิคที่ดีและขั้นตอนหลักที่เหมือนๆกันและใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพของแต่ละผู้เชี่ยวชาญดังกล่าวมารวมกัน (Unify) และกำหนดให้มีชื่อใหม่ว่า “กระบวนการพัฒนาซอฟต์แวร์แบบรวมเป็นหนึ่งเดียว (Unified Process) “ บางครั้งเราจะพบว่ามีกระบวนการคล้ายกันนี้ในแวดวงทางวิศวกรรมซอฟต์แวร์ เช่น Rational Unified Process (RUP) ซึ่งเป็นของบริษัทยักษ์ใหญ่ในวงการพัฒนาซอฟต์แวร์ที่ชื่อว่า “Rational Rose Corporation” และถูกจดลิขสิทธิ์ด้วย หลักการหรือแนวคิดจะคล้ายกันแต่จะแตกต่างที่รายละเอียดของกระบวนการมากกว่า สำหรับแนวคิดที่มีลักษณะร่วมกันหรือเหมือนกันของ UP ได้แก่ การพัฒนาแบบวนกลับ (Iterative Development), การจัดการกับความต้องการ (Requirement Management) และการใช้เครื่องมือช่วยทางวิศวกรรมซอตฟ์แวร์(CASETools)เป็นต้น

เป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ของ UP คือ การที่ให้ได้ Software ที่มีคุณภาพและสอดคล้องกับความต้องการ (need) ของผู้ใช้ โดยอยู่ภายใต้งบประมาณและเวลาที่สามารถคาดเดาได้ (Predictable budget and time) UP นั้นจะเน้นการกำหนดบทบาท (Role) ไปที่ทีมพัฒนางานมากกว่าแต่ละบุคคล กล่าวคือจะมีการกำหนดว่าในแต่ละช่วง (Phase) ของการพัฒนานั้นว่า ควรประกอบไปด้วยใคร(Who) แต่ละคนมีหน้าที่รับผิดชอบอะไร (What) จะทำงานที่รับผิดชอบนั้นเมื่อไหร่ (When) และปฏิบัติอย่างไร (How) ที่กล่าวมาเป็นลักษณะที่เป็นนามธรรม (Abstract) หรืออาจกล่าวได้ว่ามันเป็นภาพมุมสูง (bird eye view) ของกระบวนการ UP ซึ่งอาจจะทำให้เข้าใจภาพยังไม่ชัดเจน กลยุทธ์หรือแทคติคที่ใช้ใน UP รวมแล้วจะเรียกมันว่า “Best Practice Model” หรือ “Best Practice” ก็ได้ นั้นคือโดยธรรมชาติของ UP จะมีการปฏิบัติ 6 อย่าง ดังนี้

1. การพัฒนาซอฟต์แวร์ควรเป็นการพัฒนาแบบวนกลับ (Iterative Development)
2. การพัฒนาซอฟต์แวร์ ใดๆ ควรมีการจัดการความต้องการได้ (Requirement Management)
3. การใช้แนวคิดสถาปัตยกรรมแบบองค์ประกอบ (Component –based Model Architecture)
4. การสร้างต้นแบบของระบบที่สามารถมองเห็นได้ (Visual Model) ด้วยภาษา UML
5. การตรวจสอบคุณภาพของซอฟต์แวร์ที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง (Continuously Verify)
6. การจัดการการเปลี่ยนแปลง (Change Management)



1. การพัฒนาซอฟต์แวร์ควรเป็นการพัฒนาแบบวนกลับ (Iterative Development)
กล่าวคือในแต่ละรอบการทำงาน (Iteration) หนึ่งๆ จะประกอบด้วยกิจกรรมเหล่านี้ คือ การกำหนด,การวิเคราะห์,การออกแบบ,การสร้างและสุดท้ายการทดสอบความต้องการของผู้ใช้นั้น ผลที่ได้คือ ซอฟต์แวร์ที่สามารถทำงานได้ (Executable product) ซึ่งแตกต่างจากกระบวนการพัฒนาแบบดั้งเดิม (Traditional Development) ที่กว่าจะได้ผลลัพธ์ในรูป Executable product นั้นจะต้องรอไปจนกว่า(delay) จะมีการทดสอบระบบทั้งหมดเรียบร้อย ซึ่งสิ่งนี้ส่งผลให้โครงการพัฒนาซอฟต์แวร์นั้นมีความเสี่ยงสูงในการล้มเหลวได้เมื่อเวลาผ่านไป ดั่งสำนวนที่ว่า “กว่าจะรู้ตัวก็สายเสียแล้ว” นั้นเอง การพัฒนาแบบวนย้อนกลับ จะสังเกตง่าย ๆ จากลักษณะดังต่อไปนี้
1. โครงสร้างถูกแบ่งออกเป็นรอบ (Iteration)
2. สิ่งที่ได้จากการพัฒนาระบบในแต่ละรอบ จะมีการนำไปพัฒนาพิ่มสำหรับรอบต่อ ๆ ไป จนกว่าจะกลายเป็นระบบที่สมบูรณ์
3. ในแต่ละรอบทีมจะต้องทำงานซ้ำ(Iterate) ขั้นตอนการวิเคราะห์ ออกแบบ พัฒนาโปรแกรม และทดสอบโปรแกรมจากลักษณะของ Interative and Incremental Development คือ ลักษณะของการวนรอบทำซ้ำทำเพิ่มขึ้น โดยในแต่ระรอบจะเริ่มด้วยการวางแผน เก็บรวบรวมความต้องการ วิเคราะห์ พัฒนาโปรแกรม ทดลองโปรแกรม แล้วนำไปใช้งานพร้อมกับเก็บข้อมูลการประเมินผลเพื่อวางแผนดำเนินการในรอบต่อไป และแต่ระรอบจะต้องมีการเพิ่มส่วนอื่น ๆ ของระบบจนกว่าจะครบ ดังนั้นก่อนดำเนินโครงการพัฒนาระบบสิ่งสำคัญคือ จะต้องวางแผนว่าทั้งโครงการจะต้องแบ่งออกเป็นกี่รอบ ในแต่ละรอบจะเพิ่มเติมส่วนใดของระบบ จึงจะทำให้ระบบที่ได้มีความสมบูรณ์ และสามารถรองรับความต้องการของผู้ใช้ระบบที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอได้


2. การพัฒนาซอฟต์แวร์ ใดๆ ควรมีการจัดการความต้องการได้ (Requirement Management)
“ทำไมต้องจัดการความต้องการด้วยล่ะ ? ในเมื่อดูหรือศึกษาจากเอกสารรายงานต่างๆ ของระบบงานเดิมก็จบ !” ความคิดนี้เป็นความคิดแบบเก่า แบบเดิม ที่มองว่าระบบที่เราพัฒนานั้นเป็นระบบเอกเทศ (Alone หรือ Standalone) ซึ่งผมก็พบบ่อยในการพัฒนาซอฟต์แวร์บ้านเรา โดยเฉพาะกระทรวงสาธารณสุขครับที่มักมองว่าแค่ดูหรือศึกษาจากรายงาน (Output) และกระบวนการทำงาน (Workflow) แล้วมาเขียนโปรแกรมก็จบ ไม่เห็นจะยาก ครับปัญหาที่เราประสบอยู่ก็คือ มันเกิดจากการคิดแบบนี้นั้นแหละ ซึ่งเราคงพอจะสังเกตุได้ว่าทำไมซอฟต์แวร์ของกระทรวงสาธารณสุขมันเยอะเหลือเกินและแต่ละตัวก็ไม่สามารถทำงานร่วมกันได้เลย ข้อมูลใช้ร่วมกันแทบจะไม่ได้ ถ้าจะใช้ก็ต้องมาเล่นแร่แปรธาตุข้อมูลอีก ทำให้เสียเวลา เสียแรงงาน ตลอดจนซอฟต์แวร์นั้นดูแลรักษายาก ตามลำดับ สิ่งที่เป็นปัญหานี้ก็มาจากเหตุ คือ การที่เราไม่ได้มองสิ่งที่พัฒนาแบบเป็นองค์รวม ขาดการศึกษาระบบที่แวดล้อมหรือเกี่ยวข้องด้วย นั้นเอง ดังนั้นเราต้องมีการจัดการความต้องการที่ดี เพราะ “ความต้องการ” ถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด หากเราไม่สามารถจัดการกับความต้องการที่เปลี่ยนแปลงได้ ย่อมส่งผลกระทบต่อการพัฒนาระบบเป็นอย่างมาก และเสี่ยงต่อความล้มเหลวตามมา สำหรับการจัดการความต้องการนั้นจะเน้นไปที่ทำอย่างไรจะจัดการความต้องการได้อย่างเหมาะสม ทั้งนี้ระบบสามารถเปลี่ยนไปตามความต้องการได้ โดยใช้ทรัพยากรในการพัฒนาน้อยที่สุด สรุปวัตถุประสงค์ของการจัดการความต้องการก็คือ เพื่อที่จะทำให้เรามั่นใจได้ว่า เราแก้ปัญหาได้ถูกต้อง เหมาะสม และสร้างระบบที่สอดคล้องกับความต้องการของผู้ใช้ นั้นเอง ทั้งนี้การจัดการความต้องการจะต้องเป็น แนวทางที่เป็นระบบ (Systematic Approach) ซึ่งมันก็จะมีเทคนิคและวิธีการของมัน

3.การใช้แนวคิดสถาปัตยกรรมแบบองค์ประกอบ (Component –based Model Architecture)
นั้นคือ ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาซอฟต์แวร์ เขาบอกว่าในการพัฒนาซอฟต์แวร์หรือระบบใดๆ ก็แล้วแต่จะต้องมีการกำหนดหรือออกแบบสถาปัตยกรรมของระบบก่อนเสมอ กล่าวคือ หากจะเปรียบเทียบให้เข้าใจชัดเจนขึ้น ก็จะขอเปรียบเทียบกับการสร้างบ้าน ที่เราจะต้องมีการกำหนดก่อนว่าลักษณะบ้านที่เราอยากจะได้นั้นควรมีคุณลั

ผลลัพธ์ (อังกฤษ) 1:

The conceptual Unified Process (UP), a story by definition, then, is a software engineering process that arises from the combination of what software development specialist (Software engineer) that used to set, and then works to develop the software come together. By choice, but good technique, and the same principles and procedures to effectively use of each such experts come together. (Unify) and given the new name as "integrated software development process into a single (Unified Process)" sometimes we will find that there is a similar process in engineering circles, such as the Rational Unified Process software (RUP), which is the company's software development industry's giant named "Rational Rose Corporati.On "and is copyrighted by the principles or concepts are similar, but differ over the details of the process. For concepts that have characteristics in common, or identical UP include the development of Loopback (Iterative Development), dealing with the requirement (Requirement Management) and to use the tools, the way engineering sotwae (CASETools), etc. The goal or purpose of the Software is to keep getting UP, quality and consistency with the needs (need) of users is under budget and time that can be predicted. (Predictable budget and time) UP, it will focus on defining the role (Role) to the development team over individual. That is, it will have to determine whether, in each range (Phase) of the development so that should contain anyone (Who). Each is responsible for what (What) will be responsible for it, when, (When) and how (How), these are the characteristics that are abstract (Abstract), or it can be said that it is a high-angle (bird eye view) of a process UP to understand the picture isn't clear yet. Strategy or ascend the thaekti used in aggregate UP to call it "Best Practice Model" or "Best Practice", it is by the nature of the 6 practices will be UP as follows:1. software development should be to develop the loopback (Iterative Development).2. any software development should be demand management (Management Requirement).3. the use of the concept, architectural elements (Component – based Model Architecture).4. to create a prototype of a system that can be seen (Visual Model) with the UML language.5. check the quality of the software development continuously (Continuously Verify). 6. managing change (Change Management) 1. software development should be to develop the loopback (Iterative Development). กล่าวคือในแต่ละรอบการทำงาน (Iteration) หนึ่งๆ จะประกอบด้วยกิจกรรมเหล่านี้ คือ การกำหนด,การวิเคราะห์,การออกแบบ,การสร้างและสุดท้ายการทดสอบความต้องการของผู้ใช้นั้น ผลที่ได้คือ ซอฟต์แวร์ที่สามารถทำงานได้ (Executable product) ซึ่งแตกต่างจากกระบวนการพัฒนาแบบดั้งเดิม (Traditional Development) ที่กว่าจะได้ผลลัพธ์ในรูป Executable product นั้นจะต้องรอไปจนกว่า(delay) จะมีการทดสอบระบบทั้งหมดเรียบร้อย ซึ่งสิ่งนี้ส่งผลให้โครงการพัฒนาซอฟต์แวร์นั้นมีความเสี่ยงสูงในการล้มเหลวได้เมื่อเวลาผ่านไป ดั่งสำนวนที่ว่า “กว่าจะรู้ตัวก็สายเสียแล้ว” นั้นเอง การพัฒนาแบบวนย้อนกลับ จะสังเกตง่าย ๆ จากลักษณะดังต่อไปนี้ 1. โครงสร้างถูกแบ่งออกเป็นรอบ (Iteration)2. สิ่งที่ได้จากการพัฒนาระบบในแต่ละรอบ จะมีการนำไปพัฒนาพิ่มสำหรับรอบต่อ ๆ ไป จนกว่าจะกลายเป็นระบบที่สมบูรณ์3. ในแต่ละรอบทีมจะต้องทำงานซ้ำ(Iterate) ขั้นตอนการวิเคราะห์ ออกแบบ พัฒนาโปรแกรม และทดสอบโปรแกรมจากลักษณะของ Interative and Incremental Development คือ ลักษณะของการวนรอบทำซ้ำทำเพิ่มขึ้น โดยในแต่ระรอบจะเริ่มด้วยการวางแผน เก็บรวบรวมความต้องการ วิเคราะห์ พัฒนาโปรแกรม ทดลองโปรแกรม แล้วนำไปใช้งานพร้อมกับเก็บข้อมูลการประเมินผลเพื่อวางแผนดำเนินการในรอบต่อไป และแต่ระรอบจะต้องมีการเพิ่มส่วนอื่น ๆ ของระบบจนกว่าจะครบ ดังนั้นก่อนดำเนินโครงการพัฒนาระบบสิ่งสำคัญคือ จะต้องวางแผนว่าทั้งโครงการจะต้องแบ่งออกเป็นกี่รอบ ในแต่ละรอบจะเพิ่มเติมส่วนใดของระบบ จึงจะทำให้ระบบที่ได้มีความสมบูรณ์ และสามารถรองรับความต้องการของผู้ใช้ระบบที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอได้ 2. การพัฒนาซอฟต์แวร์ ใดๆ ควรมีการจัดการความต้องการได้ (Requirement Management)“ทำไมต้องจัดการความต้องการด้วยล่ะ ? ในเมื่อดูหรือศึกษาจากเอกสารรายงานต่างๆ ของระบบงานเดิมก็จบ !” ความคิดนี้เป็นความคิดแบบเก่า แบบเดิม ที่มองว่าระบบที่เราพัฒนานั้นเป็นระบบเอกเทศ (Alone หรือ Standalone) ซึ่งผมก็พบบ่อยในการพัฒนาซอฟต์แวร์บ้านเรา โดยเฉพาะกระทรวงสาธารณสุขครับที่มักมองว่าแค่ดูหรือศึกษาจากรายงาน (Output) และกระบวนการทำงาน (Workflow) แล้วมาเขียนโปรแกรมก็จบ ไม่เห็นจะยาก ครับปัญหาที่เราประสบอยู่ก็คือ มันเกิดจากการคิดแบบนี้นั้นแหละ ซึ่งเราคงพอจะสังเกตุได้ว่าทำไมซอฟต์แวร์ของกระทรวงสาธารณสุขมันเยอะเหลือเกินและแต่ละตัวก็ไม่สามารถทำงานร่วมกันได้เลย ข้อมูลใช้ร่วมกันแทบจะไม่ได้ ถ้าจะใช้ก็ต้องมาเล่นแร่แปรธาตุข้อมูลอีก ทำให้เสียเวลา เสียแรงงาน ตลอดจนซอฟต์แวร์นั้นดูแลรักษายาก ตามลำดับ สิ่งที่เป็นปัญหานี้ก็มาจากเหตุ คือ การที่เราไม่ได้มองสิ่งที่พัฒนาแบบเป็นองค์รวม ขาดการศึกษาระบบที่แวดล้อมหรือเกี่ยวข้องด้วย นั้นเอง ดังนั้นเราต้องมีการจัดการความต้องการที่ดี เพราะ “ความต้องการ” ถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด หากเราไม่สามารถจัดการกับความต้องการที่เปลี่ยนแปลงได้ ย่อมส่งผลกระทบต่อการพัฒนาระบบเป็นอย่างมาก และเสี่ยงต่อความล้มเหลวตามมา สำหรับการจัดการความต้องการนั้นจะเน้นไปที่ทำอย่างไรจะจัดการความต้องการได้อย่างเหมาะสม ทั้งนี้ระบบสามารถเปลี่ยนไปตามความต้องการได้ โดยใช้ทรัพยากรในการพัฒนาน้อยที่สุด สรุปวัตถุประสงค์ของการจัดการความต้องการก็คือ เพื่อที่จะทำให้เรามั่นใจได้ว่า เราแก้ปัญหาได้ถูกต้อง เหมาะสม และสร้างระบบที่สอดคล้องกับความต้องการของผู้ใช้ นั้นเอง ทั้งนี้การจัดการความต้องการจะต้องเป็น แนวทางที่เป็นระบบ (Systematic Approach) ซึ่งมันก็จะมีเทคนิคและวิธีการของมัน 3.การใช้แนวคิดสถาปัตยกรรมแบบองค์ประกอบ (Component –based Model Architecture)นั้นคือ ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาซอฟต์แวร์ เขาบอกว่าในการพัฒนาซอฟต์แวร์หรือระบบใดๆ ก็แล้วแต่จะต้องมีการกำหนดหรือออกแบบสถาปัตยกรรมของระบบก่อนเสมอ กล่าวคือ หากจะเปรียบเทียบให้เข้าใจชัดเจนขึ้น ก็จะขอเปรียบเทียบกับการสร้างบ้าน ที่เราจะต้องมีการกำหนดก่อนว่าลักษณะบ้านที่เราอยากจะได้นั้นควรมีคุณลั

ผลลัพธ์ (อังกฤษ) 2:

The concept of Unified Process (UP) , by definition, is a software engineering processes are caused by integration specialists developed the software ( Software. engineer) has been defined and used to develop software that works well together. The only good techniques and procedures that are the same and the efficiency of each such expert unite ( Unify) and given a new name as " a unified software development process ( Unified. Process) " Sometimes we would find a similar process in the field of software engineering such as the Rational Unified Process (RUP) , which is of major companies in the field of software development, called " Rational Rose Corporation " and is copyrighted by. Principles or concepts are similar, but they differ on the details of the process over. For ideas that look alike or share of UP also. Developing cyclic ( iterative. Development), demand management ( Requirement. Management) and engineering software tool for Windows software ( CASETools) , the goal or purpose of UP is. To obtain the Software quality and comply with the requirements ( Need) of users. By that time, under budget and predictable ( Predictable Budget and time) UP will focus on determining the role ( Role) to the team over the individual. That is to be determined in each period ( Phase) of developing that. It should consist of one ( Who) , each person is responsible for what ( What) will work for them when ( When) And how ( How) of the above characteristics are abstract ( Abstract) , or it can be said that it is. a high angle ( Bird Eye View) of the UP , which may be misleading picture remains unclear. Strategies or tactics used in UP and then to call it a " Best Practice Model " or " Best. Practice " was That is, by the nature of the UP is the sixth one. As follows: 1. The development of the software should be developed in a loop ( iterative. Development) 2. The developer should have any managing demand ( Requirement. Management) 3. Using the component architecture ( Component - based Model Architecture) 4. prototyping system that can be seen ( Visual. Model) language UML 5. Check the quality of the software developed continuously ( Continuously. Verify) 6. Change Management ( Change. Management) 1. Software development should be developed in a loop ( iterative. Development) , ie in each cycle ( Iteration) one. These activities will include defining , analyzing , designing , building and testing the needs of users, the result is the software that can run ( Executable. product) Unlike traditional development process ( Traditional. Development) which will result in Executable. product that will have to wait until ( Delay) has successfully tested the entire system. All of this results in a software development project is a high risk of failure over time. Like the expression " to be realized, it was already late " itself. The development of the Back to the simple nature of the following : 1. The structure is divided into the ( Iteration) 2. What has developed in each round. It has been developed to add for the next round until it turned into a complete system 3. In each round, teams will need to rework ( Iterate) process analysis, design, programming and testing the characteristics of Interative and Incremental Development is. The nature of the repeat loop to increase. In each iteration starts with planning. Collecting, analyzing needs, developing programs, and then try to work with data evaluation plan to be implemented in the next round. And with each round will have to add the rest of the system until the end. Before Professional Development is important. Must be planned that the project will be divided into a few rounds. Each round will be more part of the system. It will cause the system to have integrity. And can meet the needs of users are always changing to 2. The developer should have any managing demand ( Requirement. Management) "have to deal with it demand ? In view of the documents or reports. Of the original work was finished ! " This idea is the idea that the old traditional system, we developed a system that isolates ( Alone or Standalone) , which was common in software development house. The Ministry of Health, it is often seen as a study or report ( Output) and processes ( Workflow) , then the program will not see any end to difficult problems we are experiencing. It is due to this that I think. We will probably notice that the software's why the Ministry of Health and each was too much, it can not work together at all. Information shared will not. If used, it will be much more Alchemists. A time consuming, labor as well as software maintenance more difficult by the question of why it is that we are not looking at a holistic development. Lack of education or the environment associated with them, so we need to manage demand better. The " demand " is considered the most important thing. If we can not deal with the need to change. Inevitably affect the development is huge. And the risk of subsequent failure. For requirements management that is focused on how to manage demand appropriately. The system can be changed to meet the requirements. Using resources in the least developed. The purpose of the requirement is. In order to make sure that we do. Our solution was to create a system that is consistent and appropriate to the needs of the users that the management needs to be. A systematic approach ( Systematic Approach) which it has its techniques and methods 3. Using the component architecture ( Component - based Architecture Model) is. Professionals Developer He said that in software development or systems. But it has to be defined or architectural design of the system is the first to compare it to clear up. It will be compared to building a house. We need to be determined before the appearance of the house, we would have the results, you should have.