ณ บ้านแห่งหนึ่งมีพ่อ แม่ ลูก ครอบครัวนี้มีฐานะที่ปานกลางพอมีพอกิน มีชีวิตที่รายล้อมไปด้วยธรรมชาติ เช้าวันหนึ่งบรรยากาศที่แสนสบาย ท้องฟ้าที่โปร่งใส ซึ่งเป็นวันที่ครอบครัวนั้นได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา ภายในบ้านนั้นพ่อและแม่กำลังนั่งดูโทรทัศน์อย่างสนุกสนาน พอมองออกมาตรงหน้าบ้านก็จะเห็นลูกชายซื่งกำลังหนังอ่านหนังสือการ์ตูนอยู่ที่หน้าบ้าน ไม่นานนักพ่อที่กำลังนั่งดูโทรทัศน์อยู่นั้นก็ลุกมาที่หน้าบ้านเพื่อที่จะออกมายืนตรงระเบียงดูลูกชายที่กำลังหนังอ่านหนังสือการ์ตูนอยู่ที่หน้าบ้าน พ่อนั้นมีความสุขมากทุกครั้งที่ได้มองลูกชายของเขา พ่อก็ได้ลงไปนั่งคุยกับลูกชายพ่อนั้นก็ได้ชวนลูกชายคุยไปต่างๆนาๆถามเรื่องนั้นเรื่องนี้แต่ในความรู้สึกของลูกชายมีความรู้สึกว่าพ่อนั้นช่างน่ารำคาญถามเรื่องนั้นเรื่องนี้อยู่ได้ มีความรู้สึกเบื่อหน่ายในคำพูดของพ่อ ไม่นานนั้นความอดทนของลูกชายก็หมดลงเพราะพ่อนั้นยังไม่หยุดถามประโยคสุดท้ายที่พ่อพูด คือ พ่อถามว่าดอกไม้นั้นเขาเรียกว่าดอกอะไรแต่ด้วยความรำคาญของลูกชายนั้นได้ตวาดพ่ออกไปเสียงดังว่า พ่อจะถามผมอะไรหนักหนา ดอกกุหลาบไงพ่อไม่รู้จักหรือไง ในขณะที่ลูกชายกำลังตวาดพ่อของเขาอยู่นั้นในอีกมุมหนึ่งแม่ที่กำลังเดินนำอาหารมาให้ก็ต้องตกใจกับการกระทำของชายตัวเองที่เขากำลังยืนตวาดพ่ออยู่ จานขนมที่แม่กำลังเอามาให้นั้นได้ตกลงกับพื้นแม่นั้นรู้สึกเสียใจมากจึงเดินหันหลังกลับเขาไปในบ้าน ไม่นานหนักแม่ก็เดินออกมาพร้อมกับไดอารี่เล่มหนึ่งที่พ่อได้จดเอาไว้พ่อนั้นคิดว่าจะให้ไดอารี่เล่มนี้เป็นของขวัญวันเกิดของลูกชายเมื่อเขาอายุครบ 20 ปี แม่เอาไดอารีมาให้พ่อนั้นได้อ่านบันทึกทั้งหมดที่เขานั้นได้บันทึกเอาไว้ลูกชายนั้นรู้สึกกับการกระทำเมื่อสักครู่ที่เขานั้นได้ทำลงไปกับพ่อของเขา
จากความรู้สึกผิดเมื่อสักครู่ที่ไดทำลงไปนั้นทำให้เขามีความรู้สึกดีๆที่จะทำเพื่อทดแทนต่อพ่อและแม่ของเขา แต่ความรู้สึกที่จะทดแทนนั้นเขาก็ยังมีจิตใจและความรู้สึกต่อต้านที่จะทำแบบนั้นเพราะว่าสิ่งเหล่านั้นเขายังไม่เคยได้แสดงคววามรู้สึกดีๆกับพ่อแม่สักเท่าไร จึงมีความรู้ที่ไม่กล้าแต่ความต้องการของ
เขาในตอนนั้นอยากจะพาพ่อและแม่ไปเที่ยวกันอย่งพร้อมหน้าพร้อมตา แต่ในสถานะการณ์ตอนนั้นเขาสามารถทำอย่างอื่นที่เป็นกรทดแทนได้แต่เขากับไม่ทำแต่กับไปคิดถึงอนาคตที่ยังมาไม่ถึงหรืออาจจะเป็นไปไม่ได้ขณะเดียวกันนั้นแม่เของเขาก็เริ่มที่จะป่วยหนักเพราะว่าอาการโรคหัวใจที่แม่เป็นอยู่แล้วนนั้นเริ่มกำเริบขึ้นทำให้ร่างกายของแม่ที่เคยแข็งแรงนั้นทรุดตัวลงเร็วมากจนกระทั่งแม่นั้นป่วยหนักจนต้องเข้าโรงพยาบาลเพื่อทำการรักษาตัวแม่นั้นรักษาอาการโรคหัวใจนั้นอยู่นานมาก จนกระทั่งหมอนั้นได้บอกกับลูกชายของเขาว่าหัวใจแม่คุณนั้นอ่อนแอมากแล้วหมอหมดทางรักษาแต่มีทางเดียวคือต้องหาหัวใจมาเปลี่ยนแต่ร่างกายของแม่คุณนั้นจะต้องรับและตอบสนองกับหัวใจได้ด้วยและที่สำคัญค่าใช้จ่ายในการรักษานั้นมีราคาสูงมาก หมอขอแนะนำให้คุณพาคุณแม่ของคุณไปรักษาตัวอยู่ที่บ้านจะดีกว่าจนกว่าจะมีคนนั้นได้มาบริจาคหัวใจ พอหลังจากที่คุยกับคุณหมอเสร็จแล้วลูกชายนั้นได้นำเรื่องราวต่างที่หมอนั้นได้พูดคุยกับเขาไปปรึกษากับพ่อว่าแม่นั้นไม่มีทางรักษาจนกว่าจะมีหัวใจมาเปลี่ยน พอลูกชายนั้นได้พาแม่กับมาที่บ้านแต่แม่นั้นไม่มีทางดีขึ้นเลยเนื่องด้วยโรคหัวใจถ้าเป็นแล้วจะมีอาการทรุดตัวงเร็วรมไปถึงกับอาการเครียดด้วยจึงทำแม่นั้นทรุดตัวลงแร็วมาก จนกระทั่งวันนึงลูกชายนั้นได้เข้ามาพูดคุยป้อนยาแม่ตัวแม่เองนั้นก็เริ่มรู้ตัวว่าตัวเองนั้นึงไม่ไหวและอยูได้ไม่นานแล้วจึงได้นำมือของลูกชายมาจับไว้ แม่นั้นยังยิ้มให้ลูกชายและแม่นั้นก็บอกกับลูกชายว่าแม่นะรักลูกมากแต่ในขณะเดียวกันมือของแม่ที่จับลูกชายไว้ได้ถูกปล่อยลงอย่างไร้เรี่ยวแรงจึงทำให้ลูกชายของเขารู้แล้วว่าแม่ขิงเขานั้นไม่ได้อยู่บนลูกนี้อีกต่อไปแล้วเขารู้สึกเสียใจมาก
หลังจากวันนั้นเขาก็กลับมานั่งที่เก้าอี้ตัวเดิมคอยเฝ้าแต่คิดเรื่องราวต่างๆที่ผ่นในชีวิต เขาหยิบมือถือขึ้นมาก้เห็นรูปถ่ายพ่อแม่และเขานั้นเขาก็ยิ่งรู้สึกเสียใจมากแต่แล้วเขาก็หันไปเห็นไดอารี่ที่พ่อเขาเป็นคนเขียนไว้ตั้งแต่เด็กจนโตทำให้เขาคิดได้ว่าถึงเขาจะสูญเสียคนที่เขารักที่สุดไปแล้วคนหนึ่งแต่เขาก็ยังเหลือพ่อที่เขารักมากที่สุดอีกคนหนึ่งที่เขาต้องคอยดูแลและเอาใจใส่ เขาก็คิดได้ว่าอะไรที่เขานึกจะทำในตอนนั้นทำเขานั้นได้ทำทุกอย่างที่คิดและพาพ่อไปเพราะก่อนหน้านี้ที่เขาคิดจะทำกลับไม่ได้ทำแล้วต้องสูญเสียคนที่รักไปก่อนทั้งที่เขายังไม่ตอบแทนพระคุณอะไรเลยจึงทำให้เขามีบทเรียนนในชีวิตมากขึ้น