ชีวิตช่วงตอนต้นของฉัน
ชีวิตวัยเด็ก ฉันเกิดเมือวันที่ 12 มิถุนายน 2533 ที่จังหวัดนครราชสีมาของประเทศไทย มีพี่น้องทั้งหมดสามคน ส่วนฉันเป็นคนโต ในขณะที่ฉันยังเด็กอยู่นั้นฉันจำได้ว่าฉันมักจะได้ไปที่ไร่นาเสมอๆ เพราะบิดามารดาเป็นชาวนาเราทำนาบนพื้นที่ของญาติ สถานะของครอบครัวไม่ค่อยดีนัก บิดามารดาอยู่ระหว่างสร้างเนื้อสร้างตัวหลังจากที่มีฉันเพิ่มขึ้นมา ฉันจำได้ว่าฉันชอบบ้านไม้หลังเล็กๆที่พวกเราอยู่กันมาก เพราะถึงพ่อแม่จะทำงานกันหนักและเหนื่อยแค่ไหน สุดท้ายเราก็จะกินข้าวพร้อมกันและเข้านอนพร้อมกันเสมอ นั่นเป็นสิ่งที่เด็กอย่างฉันไม่เคยขาดความอบอุ่นและโหยหาความรัก พ่อและแม่ปรารถนาให้ฉันได้เข้าเรียนเหมือนเด็กคนอื่นๆ แม้ตอนนั้นเราจะค่อนข้างอัตคัด แต่ฉันก็ได้เข้าเรียนชั้นอนุบาลที่โรงเรียนใกล้บ้าน
ช่วงชีวิตปฐมวัย
ฉันได้เข้าเรียนวัยประถมที่โรงเรียนบ้านโนนสมบูรณ์ ซึ่งเป็นโรงเรียนรัฐบาลเรียนฟรี ที่นี่ได้รับชุดนักเรียน หนังสือทุกอย่างฟรีหมด รวมทั้งจักยานยืมเรียนด้วย นอกจากค่าซื้อสมุดที่ต้องซื้อ ถ้าช่วงไหนฉันได้รับทุนโครงการอาหารกลางวันฟรี ฉันก็ไม่ต้องห่อข้าวมากินที่โรงเรียน แต่ถ้าปีไหนไม่ได้ทุนฉันก็ห่อข้าวกลางวันมากิน ฉันเดินไปโรงเรียนทุกวันเพราะโรงเรียนอยู่ใกล้บ้านเพียงแค่สองกิโลเมตร ในช่วงวัยนี้สิ่งที่ฉันภูมิใจที่สุดคือการที่พ่อไปเป็นผู้ปกครองครั้งแรกให้กับฉัน ในวันจบการศึกษาและฉันได้รับเกียรติบัตรคะแนนสูงสุดในรายวิชาภาษาอังกฤษ ภาษาไทย และสังคมศึกษา หลังจากลงมาจากเวทีสิ่งที่ฉันเห็นคือรอยยิ้มและใบหน้าที่แสดงความปลาบปลื้มใจของพ่อนั่นเป็นสิ่งที่ฉันปรารถนามากกว่ารางวัลใดๆ ทั้งสิ้น เหตุการณ์วันนั้นฉันจำติดตาและรู้สึกภูมิใจมาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้
ช่วงชีวิตมัธยมต้น
ฉันเข้าเรียนที่โรงเรียนมัธยมต้นใกล้บ้าน ฉันรู้สึกอบอุ่นเมื่อเรียนอยู่ที่นี่ อาจจะเพราะด้วยโรงเรียนบ้านนอกทำให้ชีวิตของครูและนักเรียนแน่นแฟ้น ฉันศรัทธาที่ว่าคุณครูคือพ่อแม่ที่อยู่โรงเรียน เพื่อนฝูงล้วนมีความคิดและวิถีชีวิตที่คล้ายคลึงกัน ฉันจึงแทบไม่ต้องปรับตัวในสิ่งไหน วันหยุดเสาร์อาทิตย์ฉันก็ไปรับจ้างทำงานในไร่ ฉันชอบที่ฉันมีชีวิตแบบนี้ ที่โรงเรียนฉันมักจะเข้าร่วมกิจกรรมเกี่ยวกับการแต่งคำประพันธ์ การเขียงเรียงความอยู่บ่อยครั้ง ทุกครั้งที่ฉันได้รับรางวัลฉันมักบอกตัวเองอยู่เสมอว่ารางวัลไม่ใช่สิ่งที่การันตีว่าฉันเก่งแต่มันบ่งบอกถึงความถนัดและความชอบของตัวฉันเอง และในช่วงวัยมัธยมต้นก็เป็นที่มาของการจุดเริ่มต้นภาษาจีน ในขณะที่ฉันเริ่มชอบดูละครจีนกำลังภายใน ที่พากษ์ภาษาไทยแต่มีซับไตเติ้ลจีนขึ้นด้วย ฉันนั่งดูอยู่ทุกวันเห็นทุกวัน รู้สึกว่าตัวอักษรภาษานี้ มันสวยมาก ฉันอยากที่จะเขียนมันได้ แต่ฉันไม่เคยรู้อะไรเกี่ยวกับภาษาจีนเลยสักอย่าง ต่อมาฉันเห็นภาษาจีนอยู่ข้างกล่องยาสีฟันที่ซื้อมาใช้ ฉันก็เอามาพับเก็บไว้และหัดเขียนตัวอักษรตามนั้นทุกๆวัน ทั้งที่ไม่รู้ว่ามันหมายถึงอะไร มีวันหนึ่งฉันเขียนไปให้เพื่อนดู และบอกว่าฉันอยากเรียนภาษาจีนนี้ เพื่อนพูดกับฉันว่า ” จะเรียนได้อย่างไร แถวบ้านเราไม่มีสอน แล้วจะไปเรียนที่ไหน มันไม่มีทางเลยนะ ”พวกเราที่เป็นเด็กบ้านนอกไม่รู้อะไรเกี่ยวกับภาษาต่างประเทศมากนัก นอกจากวิชาวิทย์ คณิต ฉันรู้สึกขอบคุณเพื่อนคนนี้ที่ทำให้ฉันมุมานะจากคำพูดของเธอ ชีวิตที่ไม่มีหนทางคือชีวิตที่ต้องดิ้นรนและหาหนทางให้เจอ พร้อมทั้งอยากขอบคุณอาจารย์ท่านหนึ่งที่บอกฉันว่า” หากเธอรักที่จะเรียนภาษาต่างประเทศเธอมีทางเลือกเดียวนั้นคือการเข้าไปเรียนในเมือง แต่หากเธอยอมที่จะเรียนที่นี่ต่อเธอก็มีตัวเลือกให้อย่างเดียวคือ วิทย์ คณิต ถามตัวเองดู ว่าเธอต้องการแบบไหน ” นั่นเป็นจุดพลิกผันในการตัดสินใจครั้งใหญ่ของฉัน
ช่วงชีวิตมัธยมปลาย
หลังจากความพยายามอย่างที่สุดฉันก็สอบติดที่โรงเรียนบุญวัฒนา ซึ่งเป็นโรงเรียนที่ตั้งอยู่ในตัวเมือง ฉันตัดสินใจเลือกวิชาภาษาจีนเป็นสาขาหลักอย่างไม่ลังเล การใช้ชีวิตที่นี่นับเป็นการปรับตัวครั้งใหญ่ของฉัน ที่นี่ไม่มีอะไรที่คล้ายคลึงกับโรงเรียนบ้านนอกที่ฉันจากมา ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน ลักษณะนิสัยและการดำเนินชีวิต ทุกอย่างล้วนแปลกตาไปหมด ฉันมาเช่าหอพักอยู่หน้าโรงเรียนมีวิทยุเครื่องหนึ่งที่ฉันเก็บตังค์ซื้อไว้เปิดฟังเป็นเพื่อนคลายเหงา มีตู้โทรศัพท์ที่อยู่หน้าหอพักเอาไว้โทรกลับเวลาคิดถึงบ้าน ฉันยอมจากบ้านมาเพื่อทำในสิ่งที่ฉันรักและสนใจ สิ่งที่ฉันทำได้คือ ตั้งใจเรียนให้สมกับที่พ่อแม่ให้โอกาสฉันมา ฉันมักจะห่อข้าวและพกน้ำไปกินที่โรงเรียนอยู่เสมอ เพราะอยากประหยัดตังค์ที่พ่อแม่ให้มา ฉันไม่เคยเรียนพิเศษเหมือนเพื่อนคนอื่นทั้งๆที่ภาษาจีนฉันก็ไม่เก่ง แต่ฉันก็พยายามท่องและฝึกฝนมันด้วยตัวฉันเอง ฉันไม่เคยนึกน้อยใจที่ฉันไม่มีโอกาสได้เพิ่มพูนความรู้นอกเวลาเรียนเหมือนเพื่อนคนอื่นเค้า แต่ฉันกลับดีใจที่ฉันได้ใช้ชีวิตให้คุ้มค่ากับสิ่งที่พ่อแม่ให้มาได้ดีที่สุดแล้ว
ช่วงชีวิตระดับมหาวิทยาลัย
เป็นช่วงชีวิตที่ฉันได้พบเจออะไรแปลกใหม่ เป็นช่วงชีวิตที่ฉันเลือกภาษาจีนอีกครั้ง และได้เจอเพื่อนที่ชอบภาษาจีนเหมือนกัน ตอนที่เริ่มเรียนภาษาจีนที่มหาวิทยาลัย ในวิชาการออกเสียงจีน ฉันจำได้ว่าทุกครั้งที่เรียนอาจารย์จะทดสอบฝึกออกเสียงเรียงทีละคน เพื่อนส่วนใหญ่รอบเดียวก็ผ่านแล้ว แต่ของฉันหลายรอบกว่าจะผ่าน มันยากมาก จนฉันรู้สึกท้อแท้กลับไปร้องไห้ที่หอพักทุกวัน แต่ฉันก็ยืนหยัดพยายามออกเสียงพูดทุกๆวัน อยู่คนเดียว จนเพื่อนร่วมห้องถามว่า “เธอพูดอะไรอยู่ทุกวันน่ะ” และเคยมีอยู่เทอมหนึ่งเมื่อถึงเวลาสอบภาษาจีนพื้นฐาน อาจารย์จะเรียกไปนั่งสอบแล้วให้ตอบคำถามที่อาจารย์ถาม ตอนนั้นฉันงงมาก ฟังไม่รู้เรื่องว่าอาจารย์ถามว่าอะไร ฉันตอบอาจารย์ไปเพียงคำเดียวว่า 我听不懂 , 我很笨(ฉันฟังไม่เข้าใจ ฉันโง่มาก ) อาจารย์ก็เลยหยุดมองหน้าฉันแล้วพูดช้าๆ ชัดๆ ว่า .”ถ้าเธอโง่จริง ” เธอจะสอบติดที่นี่ได้อย่างไร ฉันนั่งฟังแล้วรู้สึกซึ้งใจ แม้แต่อาจารย์ยังเชื่อมั่นในตัวฉันแล้วทำไมฉันถึงไม่เชื่อมั่นในตัวเอง ฉันคิดอยู่เสมอว่าพื้นฐานภาษาจีนของฉันยังไม่ค่อยดีนักเพราะฉะนั้นฉันจะต้