เรื่องราวและเหตุการณ์ต่างๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเรานั้นมีทั้งช่วงเวลาแห่งความสุข และ ช่วงเวลาแห่งความทุกข์ สมองของมนุษย์คือมหาสมุทรแห่งความทรงจำที่จะเก็บรวบรวมประสบการณ์ต่างๆเอาไว้เพื่อประมวลผลในการดำเนินชีวิต ในแต่ละวันความคิดของมนุษย์เรานั้น 80 เปอร์เซ็นต์จมอยู่กับอดีต อีก 10 เปอร์เซ็นต์จินตนาการถึงเรื่องอนาคต อีก 10 เปอร์เซ็นต์ คิดถึงแต่เรื่องชาวบ้าน สรุปว่าในหนึ่งวัน มนุษย์เราแทบไม่ได้คิดถึงเรื่องของปัจจุบัน นั่นคือสาเหตุอันเป็นบ่อเกิดของความทุกข์ และทำให้ความสุขที่อยู่ตรงหน้าถูกมองข้ามไป พระศาสดาหลายท่านหลายศาสนาได้ให้ความสำคัญกับเวลาปัจจุบันขณะเท่านั้น ไม่เคยมีพระศาสดาองค์ไหนท่านไหนศาสนาไหนที่สอนให้มนุษย์ใช้เวลาอยู่กับอดีตหรือเพ้อฝันอยู่กับอนาคต ถามว่าทำไมเราถึงต้องอยู่กับปัจจุบันล่ะ ก็เพราะว่าเวลาปัจจุบันขณะเท่านั้นที่เป็นตัวกำหนดอนาคตของเรา เวลาปัจจุบันขณะนี่ล่ะที่จะพาเราให้หลุดพ้นจากความเจ็บปวดขื่นขมจากเหตุการณ์ในอดีต หากเราอยากรู้ว่าอนาคตเราจะเป็นอย่างไร ก็ให้ตรวจพิจารณาตัวเองว่าปัจจุบันนี้เรากำลังทำอะไร เพราะสิ่งที่เรากำลังลงมือทำในปัจจุบันนี่ล่ะคือตัวกำหนดทิศทางของอนาคต เวลาปัจจุบันขณะนี้ที่แท้ก็คืออนาคตของอดีตนั่นเอง ปัจจุบันนี้เราเป็นอย่างไร เรารวยหรือจน เราประสบความสำเร็จหรือล้มเหลว นั่นก็เป็นผลจากการกระทำในอดีตที่ผ่านมาของเราทั้งสิ้น เวลาปัจจุบันขณะจึงเป็นทั้งอนาคตของอดีต และเป็นอดีตของอนาคตด้วย หลายต่อหลายคนชอบนำความทุกข์ใจที่มันเกิดขึ้นและดับลงไปแล้วในอดีตกลับมารีไซเคิลใหม่อีกครั้งในปัจจุบัน และยังนำความทุกข์ใจเอาไว้ใช้ในอนาคตอีกด้วย ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพื่ออะไร
“ความสุขนั้นลืมง่าย ความทุกข์นั้นลืมยาก”