โลกในปัจจุบันมีความเจริญก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว แต่ในทางตรงข้ามจิตใจและศีลธรรมของมนุษย์กลับเสื่อมลง สังคมที่เคยมีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่มีน้ำใจไมตรีต่อกัน ปัจจุบันกลับเปลี่ยนมาเป็นสังคมที่มีแต่ความสับสนวุ่นวายแก่งแย่งชิงดีกัน ผู้คนเห็นแก่ตัวมากขึ้น โจรผู้ร้ายชุกชุม พ่อค้านายทุนเอารัดเอาเปรียบประชาชน เจ้าหน้าที่ของรัฐประพฤติมิชอบทุจริตต่อหน้าที่ นักการเมืองและผู้บริหารบ้านเมืองขัดแย้งโจมตีกันเพราะขัดกันในเรื่องผลประโยชน์ ฯลฯ ปัญหาเหล่านี้ล้วนก่อให้เกิดปัญหาในสังคม หนทางที่จะแก้ปัญหาต่าง ๆ เหล่านี้ วิธีที่ดีที่สุด คือ ส่งเสริมให้คนมีความซื่อสัตย์ต่อคนเองและผู้อื่น ความหมายง่ายๆ ของความซื่อสัตย์ คือ เป็นคนตรง และเป็นคนจริง ฉะนั้นผู้ที่มีความซื่อสัตย์เป็นคนที่ตรงและจริง ไม่คดโกง ไม่หลอกลวง มีคำพูดเล่นๆ ว่าถ้าคุณอยากก้าวหน้าคุณจะต้องเป็นคน โกงไป-โกงมา ที่เขาพูดเช่นนั้นเพราะต้องการประชดคนที่ตรงไปตรงมาก้าวหน้าสู้คน โกงไป โกงมาไม่ได้
เชื่อว่าคนส่วนใหญ่คงจะเคยได้ยินได้ฟังนิทานเรื่อง “ เด็กเลี้ยงแกะ ” มาแล้วที่ว่าเด็กเลี้ยงแกะคนหนึ่ง ร้องตะโกนให้ชาวบ้านมาช่วย ว่าจะมีหมาป่ามากินแกะ แต่กลายเป็นว่าเด็กโกหก และหัวเราะเยาะที่หลอกคนอื่นได้ ต่อมาเมื่อมีหมาป่ามาจริงๆ ตะโกนเท่าไรก็ไม่มีใครเชื่อ เพราะคิดว่าเป็นการโกหกอีก ในที่สุดเด็กก็ต้องสูญเสียแกะไป นิทานเรื่องนี้ สอนให้รู้ว่า การโกหกเป็นสิ่งไม่ดี และคนเราจะต้องมีความซื่อสัตย?ทั้งการกระทำและคำพูด จึงจะเป็นที่เชื่อถือของผู้อื่น และสำนวน “ เด็กเลี้ยงแกะ ” ก็เป็นที่รู้กันต่อมาว่าหมายถึง คนที่ชอบพูดโกหกหลอกลวง หรือพูดจาเหลวไหล เชื่อไม่ได้
“ ความซื่อสัตย์ ” เป็นสิ่งสำคัญ เพราะหากขาด “ ความซื่อสัตย์ ” แล้ว สังคมคงยุ่งเหยิง เกิดความหวาดระแวง ไม่ไว้ใจซึ่งกันและกัน เกิดความโกลาหลไปทั่ว ไม่รู้สิ่งไหนจริง สิ่งไหนเท็จ ถ้าขาดในระดับบุคคลก็จะกลายเป็นคนไม่น่าเชื่อถือและมีปัญหาอยู่ตลอดเวลา ส่วนในระดับประเทศ ก็จะไร้ซึ่งเกียรติภูมิ เป็นที่ดูถูกของชาติอื่น ซึ่งความซื่อสัตย์ที่ว่านี้ รวมไปถึงการมี สัจจะ พูดจริงทำจริง ไม่โกหกหรือพูดเหลวไหล พูดคำไหนเป็นคำนั้นด้วย คนเช่นนี้ไปที่ใด ย่อมเป็นที่เคารพนับถือว่าเป็นคนมีเกียรติ ข้อสำคัญ ถ้าทุกคนทำหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ย่อมจะทำให้สังคม และประเทศชาติมีความมั่นคง สงบสุข อันมีผลดีต่อประชาชนคือ ตัวเราทุกคน