ATTN:
คนเคยทุกข์ ลูกศิษย์โง่
ท่านถามว่า......
1.ขอความกรุณาช่วยให้ความกระจ่าง
ระหว่างคำว่า "ปรุงแต่ง" กับ "จินตนาการ" เหมือนหรือต่างกันอย่างไรบ้างครับ ?
2.ขอความกรุณาจากอาจารย์ด้วยครับ อีกคำว่า "พิจารณา" เหมือนหรือต่างกันกับ "ปรุงแต่ง" อย่างไรบ้างครับ ?
ขอบพระคุณเป็นอย่างสูงครับ
Answer:
คำว่า "ปรุงแต่ง" หมายถึง
1).เมื่อใดที่ท่านมีผัสสะเกิดขึ้น
ตรงตาเมื่อแลเห็น
ตรงหูเมื่อได้ยิน
ตรงจมูกเมื่อได้กลิ่น
ตรงลิ้นเมื่อลิ้มรส
ตรงผิวกายเมื่อได้สัมผัส
ตรงที่จิตเมื่อนึกคิดขึ้นมาได้เอง
โดยอายตนะทั้งหกนั้น
เมื่อมันสั่นสะเทือนเพราะเกิดผัสสะแล้ว
จิตของท่านก็จะสั่นสะเทือนเป็นการ"รับรู้" สิ่งนั้นทันที
2).สิ่งที่ท่านรับรู้นั้นอาจเป็นสรรพสิ่ง
อาจเป็นเรื่องราว เหตุการณ์ สถานการณ์
อาจจะเป็นความรู้ หรืออาจจะเป็นอะไรก็ได้
3).เมื่อจิตเกิดการรับรู้สิ่งนั้นเรื่องนั้นแล้ว
จิตก็จะพยายามเรียนรู้ว่า
สิ่งที่ตนกำลังสัมผัสรู้ดูเห็นนั้นมันคืออะไร
โดยชั้นแรกจิตมันจะถามหาจากประสบการณ์
ซึ่งจิตเองบันทึกเอาไว้ตั้งแต่อดีตกาลนั่น
ถ้าจิตค้นไม่พบประสบการณ์ตรง
มันก็จะพยายามแสวงหาข้อมูลใกล้เคียงแทน
สิ่งที่เรียกว่า "การปรุงแต่ง" มันจะเกิดขึ้นตรงนี้เอง
ให้ท่านย้อนไปดูภาพ "ช่อดอกไม้กับผีเสื้อ" สิ
จิตที่ปรุงแต่งสำหรับท่านที่ไม่เคยเห็นภาพนี้
ก็จะแลเห็นเป็นภาพใบหน้าผู้หญิงแสนสวยทันที
ทั้งๆที่แท้จริงแล้วมันเป็นแค่ช่อดอกไม้กับผีเสื้อเท่านั้น
นี่คือ นัยสำคัญของกระบวนการปรุงแต่งล่ะ
ดังนั้น.......
เราจึงขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ความรู้สึกทั้งหลายหรือ "กิเลส" นี่แหละ
มันล้วนเกิดจากการปรุงแต่งของจิตทั้งสิ้น
ถ้าปรุงแต่งแล้วเห็นว่าสวยก็ชอบ
ถ้าปรุงแต่งแล้วเห็นว่าไม่สวยหรือขี้เหร่ก็ไม่ชอบ
ทั้งๆที่ไม่ต้องมีใครถามท่านเลยว่าสวยไม่สวย
ทั้งๆที่ไม่ต้องมีใครถามท่านเลยว่าชอบ-ไม่ชอบ
ถ้าปรุงแต่งเสียงที่ได้ยินแล้วว่าไพเราะดีก็ชอบ
ถ้าปรุงแต่งแล้วเห็นว่าไม่ไพเราะเลยก็ไม่ชอบ
ทั้งๆที่ไม่ต้องมีใครถามท่านเลยว่าไพเราะหรือไม่
ทั้งๆที่ไม่ต้องมีใครถามท่านเลยว่าชอบฟังหรือไม่
เราเรียกขั้นตอนสำคัญนี้ว่า "การรับเอา" นั่นเอง
.....................................................................
คำว่า "จินตนาการ" หมายถึง......
1.การกำหนดนึกขึ้นมาเองของจิต
2.เป็นการนึกโดยที่อายตนะภายนอกทั้งห้า
มิพักต้องมีผัสสะกับสิ่งใดทั้งสิ้น
3.เป็นการกำหนดนึกถึงเรื่องราว เหตุการณ์
สถานการณ์นั้นๆขึ้นมาเอง หรือ มโนเอาเอง
4.การมโนเอาเองนี้มักจะเป็นไป
ตามอารมณ์รู้สึกนึกคิดในปัจจุบันขณะ
ตามนิสัยในการมองโลก
ตามนิสัยในการดำเนินชีวิตของคนๆนั้นเป็นสำคัญ
5.การมโนเอาเองนี้ก็คือ........
1).การวาดฝันขึ้นมาในอากาศ
ซึ่งเป็นเรื่องที่มันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
เพราะเป็นเรื่องของอดีต
2).การวาดฝันขึ้นมาในอากาศ
ซึ่งเป็นเรื่องที่มันยังไม่เคยเกิดขึ้นเลยในปัจจุบัน
เพราะมันเป็นเรื่องของอนาคต
3).การวาดฝันทั้งสองเงื่อนไขที่กล่าวนี้
ล้วนเป็นเรื่องของจิตที่สร้างภาพ "มายา" ขึ้นมา
คือ สร้างสิ่งไม่จริงให้เกิดขึ้นที่ในจิตท่านเองทั้งสิ้น
4).ดังนั้น.......
การสร้างภาพมายาที่เกิดขึ้นที่ในจิตดังว่านี้
พระบิดาจึงทรงให้เรียกว่า "การสร้างจินตนาการ"
ส่วนเหตุการณ์ เรื่องราว หรือสถานการณ์
ที่จิตท่านมันมโนขึ้นมาเองนั้น
พระบิดาจึงทรงให้เรียกว่า "จินตนาการ"
5).อันจินตนาการสำหรับมนุษย์โลกทั้งหลายนั้น
มีด้วยกัน 2 รูปแบบ คือ
5.1 จินตนาการที่ไม่จริงในอดีต
หรือเป็นจริงไม่ได้ในอนาคต
เราจะเรียกว่า "เพ้อฝัน"
หากนำสิ่งที่เพ้อฝันซึ่งไม่จริงมากล่าวให้ผู้อื่นฟัง
เราจะเรียกว่า "เพ้อเจ้อ"
5.2 จินตนาการถึงสิ่งที่จะเป็นความจริงในอนาคตได้
หรือจินตนาการในสิ่งที่ท่านทำให้มันเป็นจริงได้
อย่างนี้เราจึงจะเรียกว่า "การคิดสร้างสรรค์" ล่ะนะ
...........................................................................
คำว่า "พิจารณา" หมายถึง
1.การใช้กลไกอายตนะภายนอก
เรียนรู้สรรพสิ่งใดสรรพสิ่งหนึ่ง
หรือเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่สัมผัสรู้ดูเห็นนั้น
อย่างตั้งใจและใส่ใจ
2.โดยความตั้งใจและใส่ใจนั้น
เป็นไปเพื่อการเรียนรู้เท่านั้นว่า
อะไรเป็นอะไร
ถูกต้องเหมาะสมดีงามหรือไม่
ควรรับรู้และรับเอาหรือไม่แค่ไหนอย่างไร เป็นต้น
3.การพิจารณา เป็นการเรียนรู้สรรพสิ่งนั้นๆ
ด้วยการ "มองไปตามความจริง" ที่ได้เห็น
คิดวิเคราะห์ไปตามความจริงที่สรรพสิ่งนั้นมีหรือเป็น
โดยมุ่งเน้นที่แก่นแท้ คือ คุณสมบัติของสิ่งนั้น
ด้วยการมองข้ามผ่านมายาไปให้ได้
...............................................................................
เอเมน....สาธุ......
ป.วิสุทธิปัญญา
15-12-2014