Anti Aging Medicine
ศาสตร์แห่งการชะลอวัย
สวัสดีค่ะ พบกันอีกครั้งนะคะ ครั้งนี้คุณหมอเพิ่งกลับมาจากอเมริกาเนื่องจากได้มีโอกาสไปร่วมงานประชุม ในหัวข้อเรื่อง Anti Aging medicine หรือ Alternative medicine (แพทย์ทางเลือก เพื่อการชะลอวัย) ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสนใจอีกเรื่องหนึ่ง เพราะใครๆ ก็อยากมีสุขภาพดี ไม่เจ็บป่วย และยังดูหนุ่มสาวอยู่เสมอ
เกริ่นนำไว้ก่อนคร่าวๆ ลองมาทำความรู้จักกันทีละระบบนะคะ ว่ามีสำคัญอย่างไร ทำไมจึงต้องศึกษาไว้ด้วย ระบบร่างกายเราประกอบไปด้วยหลายระบบด้วยกัน ได้แก่ ระบบการทำงานของสมอง, ระบบการทำงานของหัวใจ, ระบบการทำงานของปอด, ระบบกล้ามเนื้อ และกระดูก, การทำงานของรังไข่, ระบบการทำงานของการย่อยอาหาร, ระบบการทำงานของผิวหนัง, ระบบการทำงานของไต, ระบบการทำงานของเลือดระบบการทำงานของจิตใจ, ระบบการทำงานของฮอร์โมน และระบบอื่นๆ ซึ่งรวมถึงการทำให้เรามีชีวิตที่สามารถดำรงอยู่ได้อย่างสมดุล
“เคยสงสัยหรือไม่คะว่าทำไมเราต้องแก่” แล้วก็ต้องเจ็บป่วยแล้วก็ต้องตาย ปัญหาโลกแตกนี้ไม่มีใครสามารถตอบได้ แต่ถ้าจะตอบแบบทางพุทธศาสนา ที่สอนให้เรายอมรับทุกอย่างที่ต้องเกิดขึ้น ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ดีค่ะ แต่ถ้ามีทางเลือกให้ชะลอสิ่งที่จะเกิดความเสื่อม ให้ได้นานที่สุดก็น่าจะดีกว่าใช่ไหมคะ หลักการของแพทย์ทางเลือก คือ ต้องการที่จะวินิจฉัยปัญหาได้แต่เนิ่นๆ (Early detection) ป้องกันไม่ให้เกิดโรค หรือถ้าเกิดแล้วทำอย่างไรให้โรคนั้นไม่รุนแรง (Prevention) รวมถึงการรักษาโรคที่มีความสัมพันธ์กับอายุที่มากขึ้น โดยเน้นในเรื่องของการมีอายุที่ยืนยาว พยายามทำทุกวิถีทางที่จะป้องกันภาวะร่างกายเสื่อม รวมทั้งการให้สารฮอร์โมนทดแทน หรือ Hormone therapy เป็นต้น
อย่างที่กล่าว “อะไรทำให้เราแก่ชรา” อะไรเป็นตัวสั่งให้ร่างกายเราเสื่อมแล้วหยุดสร้างขึ้นมาใหม่ วงการแพทย์กำลังศึกษากันอยู่ ซึ่งก็พบว่าสมองเป็นตัวสั่งงานทั้งหมด และทำงานสัมพันธ์กับระบบอื่นๆ ในร่างกาย เพื่อที่จะหลั่งสารต่างๆ (Chemical mediator) มาควบคุมระบบการทำงานของร่างกายอีกที ระบบอื่นนอกจากระบบการทำงานของสมองเราสามารถหาสิ่งทดแทนได้ เช่น ระบบการทำงานของรังไข่ พบว่าเมื่อเราเข้าสู่วัยทอง หรือการผ่าตัดเอารังไข่ออกทั้งสองข้าง ฮอร์โมนต่างๆ ในร่างกายที่สร้างจากรังไข่ก็จะสร้างน้อยลงเรื่อยๆ ซึ่งก็เป็นที่ทราบกันดีว่า ฮอร์โมนเหล่านี้มีความจำเป็นต่อการทำงานของร่างกายแทบทุกระบบ เช่น Estrogen hormone , Progesterone hormone เป็นต้น ฮอร์โมนเหล่านี้ถ้าขาด หรือเกินเพียงปริมาณเล็กน้อย สภาพร่างกายและสภาพจิตใจก็จะค่อยๆเปลี่ยนและก็เสื่อมไปในที่สุด
อาการของการขาดฮอร์โมน (Menopause) ได้แก่ ร้อนวูบวาบ อารมณ์แปรปรวน ปวดหลังปวดเอว มีลมในลำไส้ ระบบการย่อยไม่ดี ผมร่วง ใจสั่น ปวดศีรษะ ผิวแห้งเหี่ยว มีริ้วรอยมากขึ้น ขนาดเต้านมเล็กลง ผิวมัน สิวขึ้น ความต้องการทางเพศลดลง มดลูกแห้ง มีโอกาสเป็นโรคเบาหวานมากขึ้น ความจำไม่ค่อยดี(เสื่อม) กระดูกพรุน Cholesterol ในเลือดเพิ่มมากขึ้น ระบบปัสสาวะติดเชื้อได้ง่ายขึ้น
เห็นไหมคะว่า นี่แค่ระบบฮอร์โมนอย่างเดียวเท่านั้น ก็สามารถทำให้ร่างกายเราเปลี่ยนแปลงไปได้มากขนาดนี้ อาการต่างๆที่เกิดขึ้น เราสามารถแก้ด้วยการนำฮอร์โมนชนิดที่เป็นธรรมชาติกลับคืนสู่ร่างกายได้ค่ะ แต่ขอบอกว่าไม่ใช่แบบชนิดที่สามารถทานได้เองนะคะ เป็นชนิดฉีดค่ะ Injection แบบ Intradermal (Natural hormone) เพราะชนิดที่ทานได้เองเราไม่สามารถทราบปริมาณที่แท้จริงที่ร่างกายได้รับว่าเท่าไหร่ ดังนั้นผลเสียคือปริมาณฮอร์โมนในเลือดก็อาจจะเกินได้ ส่วนที่เกินนี่ล่ะค่ะ ทำให้มันสะสม และก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งในเต้านมได้ ถ้าถามว่าจำเป็นหรือไม่ที่จะต้องเอาฮอร์โมนเข้าไปทดแทนในร่างกายเมื่อมันขาด คำตอบก็คือ มีเหตุผล 5 อย่างที่สำคัญคือ
- Relief of symptoms (ลดอาการดังกล่าว)
- Prevention of memory loss (ป้องกันความจำเสื่อมเมื่ออายุ)
- Heart health (ป้องกันการเกิดโรคหัวใจ)
- Bone production (prevention of osteoporosis) (ป้องกันภาวะกระดูกเสื่อม)
- Growth and repair (ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ)
แต่การจะรับฮอร์โมนเพื่อทดแทนควรจะต้องเจาะระดับของฮอร์โมนในกระแสเลือดก่อน และการรักษาแพทย์จะดูแลให้ทุกระบบของร่างกายไปพร้อมๆ กันค่ะ รวมทั้งการทานอาหารเสริม และวิตามิน การนอนที่เพียงพอ และการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
สรุปก็คือ ร่างกายขาดอะไรก็พยายามหาสิ่งนั้นทดแทนเสมอ และถ้าจะดีมากๆ ก็ควรที่จะดูแล และป้องกันก่อนที่โรคร้ายๆ จะเกิดขึ้นกับเราน่าจะดีกว่าค่ะ