พระองคุลีมาลเถระ
...องคุลิมาล เป็นบุตรพราหมณ์ใน นครสาวัตถี บิดามีอาชีพรับราชการเป็นปุโรหิตในราชสำนักพระเจ้าปเสนทิโกศล มารดาชื่อ นางมันตานีพรหมณี ท่านเกิดเวลากลางคืนเกิดประกฎการณ์มหัศจรรย์ขึ้นคือ ศาสตราวุธยุปโธปกรณ์ในบ้าน และพระคลังแสงเกิดเปลวแสงสว่างแผ่รังสีบริเวณกว้าง ผู้เป็นพ่อได้ดูฤกษ์ยามและดูดาวบนท้องฟ้าปรากฏว่า ถึงเวลาตกฟาก ของบุตรนั้นเป็นโจรฤกษ์ ผู้เกิดในฤกษ์นี้ย่อมเป็นโจรจึงรีบเข้าเฝ้าพระเจ้าปเสนทิโกศล กราบทูลถึงฤกษ์และปรากฎการณ์ ให้พระราชาฟังและทูลให้ท่านฆ่าบุตรของตนเพื่อไม่ให้ทำความเดือดร้อนแก่ประชาชนในอนาคต แต่พระเจ้าปเสนทิโกศลไม่เชื่อและบอกให้ดูแลบุตรของของตนดี ท่านปุโรหิตจึงแก้เคล็ดให้ชื่อ อะหิงสก หมายถึง เด็กชายผู้ไม่เบียดเบียนใคร โดยเลี้ยงไม่ให้เห็นเหตุจูงใจที่จะเป็นโจร อะหิงสกโตเป็นหนุ่มและไม่มีแววที่จะเป็นโจร และได้ไปเรียนมหาวิทยาลัย ตักสิลา นครตักศิลาได้เรียนกับอาจารย์ ทิศาปาโมกข์ อะหิงสกตั้งใจเรียนและเข้าใจเนื้อหาที่เรียนเร็ว กว่าศิษย์รุ่นเดียวกันดังนั้นเวลาศิษย์คนอื่นถูกว่ากล่าวตักเตือน อาจารย์มักจะยกย่อง อะหิงสกเป็นตัวอย่าง ทำให้ศิษย์คนอื่นอิจฉา ทำอุบายแกล้งอะหิงสก อะหิงสกเวลาเรียนจากทฤษฎีแล้วชอบนำมาปฎิบัติทดลอง ศิษย์คนอื่นจึงฟ้องอาจารย์ว่าอะหิงสกคิดว่าตนฉลาดและคิดจะกำจัดอาจารย์ออกไป ครั้งแรกอาจารย์ไม่เชื่อ พอศิษย์คนอื่นฟ้องมากๆเข้าก็เชื่ออย่างสนิทใจอาจารย์เรียกอะหิงสกมาพบบอกให้อหิงสกไปฆ่าคน 1000 คนเพื่อนำมาประกอบการสอน วิชาวิษณุศาสตร์ และบอกว่าถ้าไม่มีนิ้วมืออาจารย์ก็ไม่อาจสอนได้ อะหิงสกไม่พอใจเพราะตนมาจากตระกูลหราหมณ์ไม่เคยฆ่าคนแต่เพราะอยากเรียนวิชานี้มากจึงออกไปฆ่าคน อาจารย์ก็คิดว่ากว่าอะหิงสกจะฆ่าคนครบก็คงถูกฆ่าไปเสียก่อน วิชาวิษณุศาสตร์เป็นวิชาที่พูดถึงองค์ประกอบของสรรพสิ่ง ว่าประกอบด้วยอณูทั้งหลาย แยกแยะออกมาแล้วก็จะของสภาพสรรพสิ่งนั้นเป็นนสิ่งหนึ่งทำให้อะหิงสกอยากพิสูจน์ เขาเตรียมอาวุธที่จะฆ่าคน ไปยังป่ารกและดักปล้นฆ่าคนที่ผ่านมา ฆ่าไปเรื่อยและไม่ได้จดบันทึกไว้และก็ลืมไม่รู้ว่าตนฆ่าคนได้เท่าใด จึงตัดนิ้วคนที่ถูกฆ่ามาคล้องคอทำให้เป็นนที่หวาดกลัวของชาวบ้านและพวกพ่อค้าไม่มีใครกล้าเดินทางไปค้าขายชาวบ้านเรียก อะหิงสก ว่า องคุลิมาล แปลว่าผู้ที่มีนิ้วเป็นสร้อยคอองคุริมาลได้ฆ่าคนจนนับนิ้วมือที่คอได้ 999 นิ้ว เหลืออีกนิ้วเดียวก็จะครบ
1000 คน พระเจ้าปเสนทิโกศลได้ระดมพลปราบองคุลิมาล ปุโรหิตก็เกรงกลัวภัยแก่บุตรตนเอง จึงปรึกษากับนางมันตาณีตกลงให้นางมันตาณีออกไปพบบุตร บอกให้บุตรรู้ตัวและจะได้หนีเอาตัวรอด ความรักของบิดามารดาที่มีต่อบุตรนั้นช่างบริสุทธิ์นัก ถึงลูกจะชั่วช้าสักปานใดบิดามารดาก็ยังรักและห่วงไม่เสื่อมคลาย ก่อนที่มารดาจะออกไปพบกับองคุลิมาลพระพุทธเจ้าได้ตรวจดูสัตว์โลก ผู้ใดมีนิสัยแห่งการรู้ธรรมะบ้าง ก็ทรงพบองคุลิมาลมีอุปนิสัยแห่งอรหันต์ ถ้าพระองค์ไม่ทรงเป็นพระธุระ องคุลิมาลก็จะมาตุฆาต(ฆ่าแม่ตนเอง) จึงเสด็จไปพบองคุลิมาล เมื่อพบองคุลิมาล ก็ปรี่หวังจะพระองค์ไล่เท่าไรก็ไล่ไม่ทันจนเกิดความเหนื่อยล้า ร้องตะโกน
ให้พระศาสดาหยุด พระองค็ตรัสว่า เราหยุดแล้ว แต่ท่านที่ยังไม่หยุด องคุลิมาลก็กล่าวว่าท่านเป็นสมณะ ท่านพูดเท็จ ท่านยังไม่หยุดก็บอกว่าหยุด พระองค์ตรัสตอบว่า เราหยุดทำความชั่ว อันเป็นผลให้เป็นทุกข์ แต่ท่านที่ยังไม่หยุด พระสุรเสียงพระศาสดาทำให้องคุลิมาลได้สตินึกถึงความชั่วที่ตนทำมา และเปลื้องศาสตราวุธ พวงองคุรี ไว้ที่ซอกเขา และเข้าเฝ้าพระศาสดา ฟังพระธรรมเทศนาพอจบพระธรรมเทศนาก็ได้ดวงตาเห็นธรรม ขออุปสมบทเป็นพระภิกษุด้วยวิธี เอหิภิกขุอุปสัมปนาวัดเชตะวันวิหาร ท่านองคุลิมาลได้บิณฑบาตในนครสาวัตถี ประชาชนพบเห็นก็เกิดความหวาดกลัว วิ่งหนีกันอลหม่าน ไม่มีใครถวายอาหารให้ท่านเลยแม้เต่ทัพพีเดียว พระองคุลิมาลเป็นผู้ที่ไม่ประมาท ตั้งใจบำเพ็ญสมณธรรมเคร่งครัด แต่จิตของท่านไม่มีสมาธิ เพราะเหตุการณ์ที่ท่านฆ่าคนมาปรากฏเฉพาะหน้าตลอดเวลา พระบรมศาสดาได้สั่งสอนว่า
...ไม่ควรระลึกถึงสิ่งที่ล่วงมาแล้ว และสิ่งที่ยังมาไม่ถึง ให้พิจารณากรรมที่ เกิดขึ้นเฉพาะหน้า ปัจจุบันพระองคุริมาลได้ปฎิบิติตามที่ทรงแนะนำไม่นานท่านก็เป็นพระอรหันต์ ภิกษุสนทนากันว่า ท่านองคุลิมาลท่านฆ่าคนมามากมายเห็นปานนั้นยังบรรลุพระอรหันต์ได้อยู่หรือพระพุทธเจ้าตรัสกับพระภิกษุเหล่านั้น ภิกษุทั้งหลาย ผ่านมาองคุลิมาลไม่ได้มีกัลยาณมิตรแม้สักคนเดียวจึงได้ทำบาปขนาดนั้น ภายหลังเธอได้กัลยาณมิตรเป็นปัจจัย เป็นผู้ไม่ประมาท บาปกรรมเหล่านั้นบุตรของเราละแล้วด้วยกุศลกรรม แล้วตรัสคาถา บุคคลใดละบาปกรรมที่ตนทำไว้แล้ว บุคคลนั้นย่อมทำให้โลกนี้สว่างเหมือน ดวงจันทร์พ้นแล้วจากเมฆหมอก ท่านองคุลิมาลมีความเชี่นวชาญเรื่องน้ำมนต์ ให้หญิงมีครรภ์คลอดบุตรง่าย