การปลูกฟื้นฟูระบบนิเวศป่าชายเลนการป

การปลูกฟื้นฟูระบบนิเวศป่าชายเลน
การปลูกป่าชายเลนในปัจจุบันมุ่งหวังที่จะฟื้นฟูระบบนิเวศป่าชายเลนที่เสื่อมโทรมให้มีสภาพดีเพื่อให้เกิดความสมดุลของสภาพแวดล้อมชายฝั่งทะเลมากยิ่งขึ้น คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2533 เร่งรัดให้มีการปลูกฟื้นฟูป่าชายเลน โดยคัดพันธุ์ไม้ที่เหมาะสมกับระบบนิเวศ และต่อมาได้มีมติคณะรัฐมนตรีเมื่อ 4 มิถุนายน 2534 ให้ดำเนินการปลูกป่าชายเลนทั่วประเทศ และได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน กรมป่าไม้ได้ดำเนินการไปแล้วประมาณ 110,000 ไร่ การปลูกป่าชายเลนเท่าที่ผ่านมาส่วนใหญ่จะใช้ไม้โกงกางเป็นหลัก เพราะป่าไม้ที่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตามการปลูกป่าชายเลนให้ได้ผลดีควรคำนึงถึงปัจจัยสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปตามสภาพพื้นที่และกาลเวลาอาทิเช่น สภาพภูมิประเทศ ชายฝั่งทะเล ภูมิอากาศ น้ำขึ้น – น้ำลง คลื่นและกระแสน้ำ ความเค็มของทะเลปริมาณออกซิเจนที่ละลายน้ำ คุณสมบัติทางเคมี และฟิสิกส์ของดิน และปริมาณธาตุอาหารต่าง ๆ การที่จะปลูกป่าชายเลนในสภาพพื้นที่ต่าง ๆ ให้ได้ผลนั้น ผู้ดำเนินการในพื้นที่จะต้องนำความรู้ที่ได้จากการสังเกต และศึกษาทำความเข้าใจในระบบนิเวศป่าชายเลนของพื้นที่ปลูกมาใช้เป็นหลักในการดำเนินการปลูก โดยสังเกตและศึกษากลุ่มของสังคมพืชที่ปรากฏอยู่ในสภาพธรรมชาติ ซึ่งปกติแล้วพันธุ์ไม้ป่าชายเลนจะขึ้นอยู่ในลักษณะของการแบ่งเขต (Zonation) ตามสภาพความเค็มของน้ำทะเลและความลาดชันของพื้นที่การปลูกเพื่อพัฒนาสิ่งแวดล้อมชายฝั่งทะเลเช่นนี้ จึงควรพิจารณาคัดเลือกพันธุ์ไม้ที่มีอยู่เดิมในสังคมพืชนั้นเป็นอันดับแรก โดยทั่วไปแล้วพื้นที่ที่จะดำเนินการปลูกฟื้นฟูสภาพป่าชายเลนมีลักษณะดังนี้
1. พื้นที่ซึ่งเป็นดินเลนงอกใหม่ (new mudflat area) เกิดจากการทับถมของตะกอนดินที่ไหลมาตามแม่น้ำลำคลอง เช่น อ่าวบ้านดอน จังหวัดสุราษฏร์ธานี อ่าวปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช หรือเกิดจากการพังทลายของชายฝั่งทะเลในบริเวณอื่น แล้วกระแสน้ำหมุนเวียนพัดพาไปตกตะกอนในอีกพื้นที่หนึ่ง เช่น หาดเลนงอกใหม่ในท้องที่จังหวัดสมุทรสงคราม และเพชรบุรี เกิดจากการพังทลายของชายฝั่งสมุทรสาคร กรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ แล้วกระแสน้ำพัดพาไปตกตะกอนในบริเวณดังกล่าว โดยจะมีตะกอนที่ไหลมาตามแม่น้ำลำคลองทับถมเพิ่มเติม พันธุ์ไม้เบิกนำที่ขึ้นอยู่ในบริเวณที่เป็นดินเลนงอกใหม่ ส่วนใหญ่จะเป็นชนิดไม้ลำพู (Sonneratia caseolaris) ลำแพนขาว ( Sonneratia alba) แสมขาว ( Avicennia marina) โดยพื้นที่ที่มีความเค็มของน้ำทะเลต่ำ ระหว่าง 0-15 ppt ( ) จะเป็นพันธุ์ไม้ลำพูและแสมขาว ส่วนบริเวณที่มีความเค็มสูงกว่าจะเป็นไม้แสมทะเลและลำแพน การปลูกป่าชายเลนในสภาพพื้นที่นี้ควรมีการสังเกตพันธุ์ไม้เบิกนำดังกล่าวเป็นหลัก พื้นที่ที่มีพันธุ์ไม้เบิกนำเริ่มปรากฏจะเป็นดัชนีบ่งชี้ให้เห็นว่าดินเลนยึดตัวกันแน่นพอที่จะดำเนินการปลูกป่าชายเลนได้ การที่จะกำหนดว่าเขตใดสามารถปลูกพันธุ์ไม้ลงในพื้นที่ได้นั้น ควรสังเกตว่าในพื้นที่นั้นมีลูกไม้ (sapling) ขึ้นอยู่หรือไม่ จากการสำรวจในท้องที่จังหวัดสมุทรสงคราม พบว่าในบริเวณที่มีการสืบพันธุ์ตามธรรมชาติของไม้แสมประมาณ 4-46 ต้นต่อไร่ จะปลูกพันธุ์ไม้ชนิดเดียวกันได้ดี และบริเวณที่มีลูกไม้แสมมากกว่า 64 ต้นต่อไร่ จะปลูกโกงกางใบใหญ่ได้ แต่อย่างไรก็ตามมีปัญหาที่สำคัญของการปลูกป่าชายเลน ในพื้นที่บริเวณหาดเลนงอกใหม่นี้คือเพรียงหิน (Balanus sp.) ซึ่งจะมาเกาะลำต้นของกล้าไม้ที่ใช้ปลูก โดยพบว่าเพรียงหินจะเกาะฝักโกงกางใบใหญ่ที่ใช้ปลูกปริมาณมาก จนทำให้กล้าไม้ล้มเอนลงอยู่ในระดับต่ำและตายในที่สุด ทั้งนี้ก็เพราะต้นโกงกางใบใหญ่มีผิวขรุขระ ทำให้เพรียงหินเกาะทำลายได้ง่าย ส่วนแสม ลำแพน และลำพู สามารถขึ้นได้ดี มีเพรียงเกาะทำลายอยู่ เนื่องจากพันธุ์ไม้ดังกล่าวมีเปลือกที่สามารถหลุดลอกออกได้โดยง่าย เปลือกที่มีเพรียงหินเกาะติดอยู่จะร่อนหลุดออกไปก่อนที่จะทำให้เกิดความเสียหายแก่ส่วนของลำต้นอย่างไรก็ตาม ได้มีรายงานว่าด้วงเจาะไม้บางชนิด เข้ามามีบทบาทในการเจาะกล้าไม้ลำพูทะเล ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริเวณจังหวัดสมุทรสาคร สมุทรสงคราม และเพชรบุรี ทำให้การปลูกกล้าไม้เบิกนำในบริเวณดังกล่าวล้มเหลว ในการปลูกบริเวณที่มีปัญหาเรื่องเพรียงหินเป็นปริมาณมาก นอกจากเลือกพันธุ์ไม้ที่มีศักยภาพต่อความอยูรอดในบริเวณดังกล่าวสูงแล้ว โดยเฉพาะในบริเวณก้นอ่าวไทย พบว่าระหว่างเดือนตุลาคม – ธันวาคม จะมีตัวอ่อนของเพรียงหินเป็นปริมาณมาก จึงควรหลีกเลี่ยงการเอากล้าอ่อนไปปลูกในฤดูกาลนี้ นอกจากนี้ในพื้นที่ซึ่งเป็นดินเลนงอกใหม่ยังเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยและแสวงหาอาหารของสัตว์น้ำเป็นจำนวนมาก ทำให้มีอวนรุนเข้ามาจับสัตว์น้ำอยู่เสมอ ซึ่งนอกจากจะทำลายกล้าไม้ที่ปลูกแล้ว ยังทำให้การตกตะกอนและยึดตัวของอนุภาคดินเป็นไปได้ช้า ดังนั้นก่อนการปลูกป่าชายเลนในบริเวณนี้จึงควรจัดทำแนวรั้วกั้นการเข้าออกของเรือประมงไว้เป็นการล่วงหน้า 1-2 ปี จะทำให้ดินเลนตกตะกอนและยึดตัวแน่นได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ทำให้สามารถดำเนินการปลูกได้ง่ายขึ้น และจะมีกล้าไม้เข้ามาสืบพันธุ์ตามธรรมชาติเพิ่มเติมจนกลายเป็นป่าที่สมบูรณ์ที่มีประโยชน์ในการอนุรักษ์ สิ่งแวดล้อมชายฝั่งได้ในเวลาอันรวดเร็ว

ผลลัพธ์ (อังกฤษ) 1:

Planting mangrove ecosystem restorationThe mangrove planting today aims to restore the mangrove ecosystems degraded, there is a good environment to achieve the balance of the coastal environment. even more. The Cabinet has approved February 27, 1990, when intensive plantations of mangrove forest restoration. By copying the appropriate wood species with ecological and Cabinet resolutions came June 4, 1991, when it carried out nationwide mangrove planting and have continued until present. Department of forestry has taken it around the mangrove plantation 110000 times ago wood of Rhizophora is used mainly as a primary. Because of the economic value of forests However, productive mangrove planting should take into consideration environmental factors that vary according to the conditions of space and time, such as terrain, water, coastal climate – low tide. Waves and tides, salinity of the sea water dissolved oxygen. Chemical properties of soil and nutrient consumption. The mangrove planting in areas quickly. Operator in the area to bring the knowledge from observing and understanding the ecology of mangrove plantations used primarily in plant operations. By observing and studying a group of plant communities in natural conditions. Which mangrove trees usually depends on the nature of the divide County (Zonation) according to a salinity of sea water, and the slope of the area planted to improve the coastal environment like this. It's a good idea to select wood species existing in the society, the plants first. In General, the area planted with mangrove rehabilitation characteristics as follows:1. พื้นที่ซึ่งเป็นดินเลนงอกใหม่ (new mudflat area) เกิดจากการทับถมของตะกอนดินที่ไหลมาตามแม่น้ำลำคลอง เช่น อ่าวบ้านดอน จังหวัดสุราษฏร์ธานี อ่าวปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช หรือเกิดจากการพังทลายของชายฝั่งทะเลในบริเวณอื่น แล้วกระแสน้ำหมุนเวียนพัดพาไปตกตะกอนในอีกพื้นที่หนึ่ง เช่น หาดเลนงอกใหม่ในท้องที่จังหวัดสมุทรสงคราม และเพชรบุรี เกิดจากการพังทลายของชายฝั่งสมุทรสาคร กรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ แล้วกระแสน้ำพัดพาไปตกตะกอนในบริเวณดังกล่าว โดยจะมีตะกอนที่ไหลมาตามแม่น้ำลำคลองทับถมเพิ่มเติม พันธุ์ไม้เบิกนำที่ขึ้นอยู่ในบริเวณที่เป็นดินเลนงอกใหม่ ส่วนใหญ่จะเป็นชนิดไม้ลำพู (Sonneratia caseolaris) ลำแพนขาว ( Sonneratia alba) แสมขาว ( Avicennia marina) โดยพื้นที่ที่มีความเค็มของน้ำทะเลต่ำ ระหว่าง 0-15 ppt ( ) จะเป็นพันธุ์ไม้ลำพูและแสมขาว ส่วนบริเวณที่มีความเค็มสูงกว่าจะเป็นไม้แสมทะเลและลำแพน การปลูกป่าชายเลนในสภาพพื้นที่นี้ควรมีการสังเกตพันธุ์ไม้เบิกนำดังกล่าวเป็นหลัก พื้นที่ที่มีพันธุ์ไม้เบิกนำเริ่มปรากฏจะเป็นดัชนีบ่งชี้ให้เห็นว่าดินเลนยึดตัวกันแน่นพอที่จะดำเนินการปลูกป่าชายเลนได้ การที่จะกำหนดว่าเขตใดสามารถปลูกพันธุ์ไม้ลงในพื้นที่ได้นั้น ควรสังเกตว่าในพื้นที่นั้นมีลูกไม้ (sapling) ขึ้นอยู่หรือไม่ จากการสำรวจในท้องที่จังหวัดสมุทรสงคราม พบว่าในบริเวณที่มีการสืบพันธุ์ตามธรรมชาติของไม้แสมประมาณ 4-46 ต้นต่อไร่ จะปลูกพันธุ์ไม้ชนิดเดียวกันได้ดี และบริเวณที่มีลูกไม้แสมมากกว่า 64 ต้นต่อไร่ จะปลูกโกงกางใบใหญ่ได้ แต่อย่างไรก็ตามมีปัญหาที่สำคัญของการปลูกป่าชายเลน ในพื้นที่บริเวณหาดเลนงอกใหม่นี้คือเพรียงหิน (Balanus sp.) ซึ่งจะมาเกาะลำต้นของกล้าไม้ที่ใช้ปลูก โดยพบว่าเพรียงหินจะเกาะฝักโกงกางใบใหญ่ที่ใช้ปลูกปริมาณมาก จนทำให้กล้าไม้ล้มเอนลงอยู่ในระดับต่ำและตายในที่สุด ทั้งนี้ก็เพราะต้นโกงกางใบใหญ่มีผิวขรุขระ ทำให้เพรียงหินเกาะทำลายได้ง่าย ส่วนแสม ลำแพน และลำพู สามารถขึ้นได้ดี มีเพรียงเกาะทำลายอยู่ เนื่องจากพันธุ์ไม้ดังกล่าวมีเปลือกที่สามารถหลุดลอกออกได้โดยง่าย เปลือกที่มีเพรียงหินเกาะติดอยู่จะร่อนหลุดออกไปก่อนที่จะทำให้เกิดความเสียหายแก่ส่วนของลำต้นอย่างไรก็ตาม ได้มีรายงานว่าด้วงเจาะไม้บางชนิด เข้ามามีบทบาทในการเจาะกล้าไม้ลำพูทะเล ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริเวณจังหวัดสมุทรสาคร สมุทรสงคราม และเพชรบุรี ทำให้การปลูกกล้าไม้เบิกนำในบริเวณดังกล่าวล้มเหลว ในการปลูกบริเวณที่มีปัญหาเรื่องเพรียงหินเป็นปริมาณมาก นอกจากเลือกพันธุ์ไม้ที่มีศักยภาพต่อความอยูรอดในบริเวณดังกล่าวสูงแล้ว โดยเฉพาะในบริเวณก้นอ่าวไทย พบว่าระหว่างเดือนตุลาคม – ธันวาคม จะมีตัวอ่อนของเพรียงหินเป็นปริมาณมาก จึงควรหลีกเลี่ยงการเอากล้าอ่อนไปปลูกในฤดูกาลนี้ นอกจากนี้ในพื้นที่ซึ่งเป็นดินเลนงอกใหม่ยังเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยและแสวงหาอาหารของสัตว์น้ำเป็นจำนวนมาก ทำให้มีอวนรุนเข้ามาจับสัตว์น้ำอยู่เสมอ ซึ่งนอกจากจะทำลายกล้าไม้ที่ปลูกแล้ว ยังทำให้การตกตะกอนและยึดตัวของอนุภาคดินเป็นไปได้ช้า ดังนั้นก่อนการปลูกป่าชายเลนในบริเวณนี้จึงควรจัดทำแนวรั้วกั้นการเข้าออกของเรือประมงไว้เป็นการล่วงหน้า 1-2 ปี จะทำให้ดินเลนตกตะกอนและยึดตัวแน่นได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ทำให้สามารถดำเนินการปลูกได้ง่ายขึ้น และจะมีกล้าไม้เข้ามาสืบพันธุ์ตามธรรมชาติเพิ่มเติมจนกลายเป็นป่าที่สมบูรณ์ที่มีประโยชน์ในการอนุรักษ์ สิ่งแวดล้อมชายฝั่งได้ในเวลาอันรวดเร็ว

ผลลัพธ์ (อังกฤษ) 3:

. Planting mangrove ecosystem restorationMangrove planting currently aims to restore degraded mangrove ecosystem environment quality to achieve the balance of the coastal environment more and more. The cabinet on 27 February 2533.The selected appropriate plants with ecology. And it came to pass, when 4 June 2534 cabinet approved the mangrove planting throughout the country. And the continuously to the present. The forest department has already carried out, about 110000 acres of mangrove planting so far mainly used mangrove wood as the main Because the forest is economic valueThe topography of coastal, climate, water - water, waves and tides. The salinity of the sea, dissolved oxygen, water chemistry and physics of the earth and the quantity of nutrients.As a result, it operated in the area to bring the knowledge gained from observation. Study and understanding of the mangrove forest ecosystem of the area planted mainly used in the plant.Usually mangrove species is based on the nature of the zoning (Zonation) according to the condition of the salinity of sea water and the slope planting to develop coastal environment like this.In general, the mangrove planting area to rehabilitate the
.1.The area which a clay Lane regenerate (New mudflat area) caused by the accumulation of sediment to flow along the river, such as the Bandon Bay, Surat Thani province. Pak Phanang Bay, Nakhon Si Thammarat.Then the revolving blow settling in one area, such as the beach lane to regenerate areas in Samut songkhram province and city, caused by erosion of the coast of Samut Sakhon. Bangkok and Samut Prakan province.