ถอดรหัส:
มัทธิว 13-24-30
คำอุปมาเกี่ยวกับข้าวสาลีและข้าวละมาน
พระองค์ตรัสคำอุปมาอีกข้อหนึ่งให้เขาทั้งหลายฟังว่า.....
...
1.อาณาจักรแห่งสวรรค์เปรียบเหมือนชายคนหนึ่งได้หว่านพืชดีในนาของตน
แต่เมื่อคนทั้งหลายนอนหลับอยู่ ศัตรูของคนนั้นมาหว่านข้าวละมานปนกับข้าวสาลีนั้นไว้ แล้วก็หลบไป ครั้นต้นข้าวนั้นงอกขึ้นออกรวงแล้ว ข้าวละมานก็ปรากฏขึ้นด้วย
ความหมาย:
ตามที่องค์เยซูคริสต์เจ้าทรงอุปมาให้ศิษย์ของพระองค์ฟังนั้นหมายความว่า....
ก่อนที่องค์จิตจักรวาลผู้ทรงเป็นพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ จะทรงอนุญาตให้พระบุตรหรือจิตจักรวาลดวงเล็กในแดนสุญตา แบ่งภาคตนเองออกมาเป็นพระจิตหรือจิตวิญญาณเพื่อเดินทางข้ามมิติเข้ามาสู่การเกิดเป็นมนุษย์ยังดาวโลกเสรีนี้นั้น พระองค์ได้ทรงประทานคุณสมบัติที่ดีที่สุดให้แก่ดวงจิตวิญญาณทุกรูปธรรมเพื่อนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการปฏิบัติตามพันธะสัญญา 6 ที่ให้ไว้ต่อพระองค์อย่างครบครัน คือ
1.สัญชาตญาณ เพื่อการมีชีวิตรอด
2.ความเฉลียวฉลาด เพื่อการคิดรู้และเรียนรู้
3.ความรัก เพื่อการเหนี่ยวรั้งตนเองไว้กับผู้อื่น
4.แรงบันดาลใจในตนเอง เพื่อการพิชิตความสำเร็จในสิ่งมุ่งหวัง
5.ความนึกดีนึกชอบ เพื่อการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบในชีวิตประจำวัน
6.ความละอายต่อการทำชั่ว เพื่อการไม่เป็นเงื่อนไขด้านลบต่อผู้อื่น
แต่พอจิตวิญญาณนั้นๆได้รับโอกาสให้มาเกิดเป็นคนสองมิติที่เรียกว่า "มนุษย์" แล้ว ปรากฏว่าเมื่อได้พบสัมผัสเข้ากับสิ่งแวดล้อมทั้งหลายในระบบโลก ซึ่งพระบิดาทรงกำหนดสร้างขึ้นไว้ มันทำให้พวกเธอเกิดอาการลืมตัว เพลิดเพลิน และหลงใหลไม่ได้สติเสมือนคนนอนหลับ เพราะไปหลงยึดติดสิ่งสวยๆงามๆที่เป็นมายาเหล่านั้นเข้าให้นั่นเอง
เมื่อจิตเธอไปหลงในอัตตาแห่งมายาของสรรพสิ่งทั้งหลายเข้า จึงยังผลให้ภายในจิตใจเธอที่มีสิ่งดีๆเป็นคุณสมบัติอยู่ 6 สิ่งดังกล่าวมาแล้วนั้น เกิดมีคุณสมบัติอันไม่พึงประสงค์แทรกซ้อนขึ้นมาได้ นั่นคือ สิ่งที่เรียกว่ากิเลสตัณหาทั้งปวง ซึ่งพระองค์ทรงเปรียบเป็นดั่งข้าวละมานที่มันพากันเติบโตแข่งกับข้าวสาลีที่ปลูกไว้ในนาก็คือ ที่ในใจเธอนั่นล่ะ มนุษย์แต่ละคนจึงแม้จะยังคงมีสิ่งดีๆที่ในใจเป็นคุณสมบัติเดิมแท้กันอยู่ทุกคน แต่ทว่าแต่ละคนก็ยังมีสิ่งไม่ดี คือ ข้าวละมานเติบโตผุดโผล่ขึ้นมาในท้องนาหรือในใจด้วยในเวลาเดียวกัน
ข้าวละมานที่ว่าก็คือ...
1.ความโลภ
2.ความโกรธ
3.ความงมงาย
4.ความลังเลสงสัย
5.ความอิจฉาริษยา
6.ความเบื่อหน่ายเกียจคร้าน
7.ความท้อแท้ท้อถอย
8.ความเห็นผิดหลงผิด
9.ความมีทิฐิดื้อรั้น
หากจะกล่าวง่ายๆก็คือ คุณสมบัติด้านลบที่เกิดขึ้นในจิตใจมนุษย์ทั้ง 9 สิ่งนี้มันเกิดขึ้นตอนที่พวกเธอเผลอ แปลว่า ขาดสติเหมือนคนนอนหลับนั่นแหละ โดยไปหลงยึดติดในอัตตาตัวตนของสรรพสิ่ง และอัตตาที่เป็นตัวมึงตัวกู ของมึงของกู อันประกอบด้วย รูป รส กลิ่น เสียง ซึ่งเป็นมายาทั้งหลายเข้าให้
2.พวกผู้รับใช้แห่งเจ้าบ้านจึงมาแจ้งแก่นายว่า `นายเจ้าข้า ท่านได้หว่านพืชดีในนาของท่านมิใช่หรือ แต่มีข้าวละมานมาจากไหน'
นายก็ตอบพวกเขาว่า `นี้เป็นการกระทำของศัตรู'
ความหมาย:
เมื่อความจริงมันเป็นเช่นที่ว่ามานั้นแล้ว พี่พลียะเดี้ยนส์ซึ่งเป็นเทพประจำตนของจิตวิญญาณผู้เป็นตัวตนแก่นแท้ในมนุษย์แต่ละคน จึงได้แจ้งแก่จิตวิญญาณที่ตนเองโอบอุ้มหุ้มห่อเอาไว้ข้างในให้ได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างกับจิตหยาบ ที่เป็นตัวแทนของแก่นแท้นั่น
จิตวิญญาณแก่นแท้จึงได้กล่าวต่อพลียะเดี้ยนส์ ซึ่งทำหน้าที่สื่อสารระหว่างตนเองกับจิตหยาบว่า การที่จิตหยาบสั่นสะเทือนด้วยอำนาจด้านลบ ในย่านความถี่ต่ำที่เปรียบดั่งข้าวละมานทั้ง 9 สิ่งนั้น มันเกิดจากอุปสรรคที่เป็นข้อจำกัดของจิตหยาบของมนุษย์เอง เหมือนเธอซื้อต้นมะม่วงมาปลูกที่บ้านแต่พอมาเลี้ยงดูให้โตก็พบว่ามีต้นหญ้าหรือวัชพืชติดมาด้วยนั่นแหละ...
อุปสรรคหรือศัตรูที่ทำให้จิตหยาบเข้าถึงคุณสมบัติดีๆด้านเดียวไม่ได้ โดยกลับแสดงคุณสมบัติด้านลบออกมาแทนมี 2 ประการ คือ
2.1.การทำงานของจิตหยาบ คือ การสั่นสะเทือน ถ้าจะเข้าถึงคุณสมบัติด้านบวกที่พระบิดาทรงประทานติดตั้งมาให้แต่เดิมนั้น จิตหยาบจะต้องสั่นสะเทือนด้วยความถี่สูงเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว จิตหยาบจะยกระดับเป็นสั่นสะเทือนด้วยคลื่นความถี่สูงได้มันก็ต้องสั่นในย่านความถี่ต่ำๆก่อน
อาการสั่นสะเทือนของจิตย่านความถี่ต่ำก็คือ คุณสมบัติด้านลบทั้ง 9 นั่นเอง
2.2.เมื่อจิตหยาบสั่นสะเทือนเป็นคลื่นความถี่ต่ำทั้ง 9 นั้นแล้ว มนุษย์แต่ละคนก็ยังมีอุปสรรคอีกประการหนึ่งที่เป็นเหตุให้ไม่สามารถยกระดับสภาวะจิตให้สูงขึ้นทางด้านบวกได้ นั่นคือ "ไม่มีมหาสติ" หมายถึง ไม่รู้สติ ไม่มีสติ และใช้สติปัญญาไม่ได้ จึงตกเป็นทาสของอำนาจจิตด้านลบของตนเองตลอดมา พอนานหลายภพชาติเข้าจึงเกิดเป็นนิสัยด้านลบของจิต อันยากแก่การแก้ไขเยียวยาดังที่เรากล่าวย้ำอยู่ทุกบ่อยๆนั่นแหละ
3.พวกผู้รับใช้จึงถามนายว่า ท่านปรารถนาจะให้พวกเราไปถอนและเก็บข้าวละมานหรือ' แต่นายตอบว่า `อย่าเลย เกลือกว่าเมื่อกำลังถอนข้าวละมานจะถอนข้าวสาลีด้วย
ให้ทั้งสองจำเริญไปด้วยกันจนถึงฤดูเกี่ยว และในเวลาเกี่ยวนั้นเราจะสั่งผู้เกี่ยวว่า "จงเก็บข้าวละมานก่อนมัดเป็นฟ่อนเผาไฟเสีย แต่ข้าวสาลีนั้นจงเก็บไว้ในยุ้งฉางของเรา"'
ความหมาย:
พระบิดาโดยจิตวิญญาณแก่นแท้ในมนุษย์แต่ละคน ทรงยินยอมให้จิตหยาบมีคุณสมบัติด้านลบแทรกซ้อนปนอยู่ในคุณสมบัติด้านบวกต่อไปได้ โดยเมื่อถึงเวลาก่อนกาลสิ้นยุคจะส่งพระศาสดาลงมาจุติ เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ในการเก็บถอนคุณสมบัติด้านลบทั้ง 9 นั้นออกไปจากสภาวะจิต ให้เหลือแต่คุณสมบัติที่ดีๆแต่เดิมไว้เท่านั้น
สาเหตุที่ ไม่เก็บแยกเอาคุณสมบัติที่ดีๆออกก่อน เพราะมันเป็นไปไม่ได้ เนื่องจากคุณสมบัติด้านลบในจิตใจเธอนั้น มันสั่นสะเทือนในย่านความถี่ต่ำ ถ้าจะเข้าถึงคุณสมบัติด้านบวกคือด้านดีได้ เธอจะต้องสั่นสะเทือนจิตใจให้เป็นคลื่นความถี่ที่สูงขึ้นในลักษณะของการ "ยกระดับ" โดยยกระดับจากย่านความถี่ต่ำขึ้นไปสู่ย่านความถี่สูง โดยใช้ย่านความถี่ต่ำเป็นฐาน ใช่หรือไม่ล่ะ?
ดังนั้น การถอนข้าวละมานหรือวัชพืชในนาข้าวสาลีออกจากนา โดยไม่ถอนข้าวสาลีออกจากนาก็เพราะเหตุดังว่านี้
ถ่ายทอดคลื่นการคิดจากองค์จิตจักรวาล
เพื่อถอ