การวิเคราะห์สาเหตุและทางออกที่แท้จริงของปัญหาน้ำท่วมเมืองไทย เป็นเรื่องจำเป็น เพราะถ้าไม่เข้าใจสาเหตุและสภาพปัญหาอย่างแท้จริง
จะแก้ไม่ได้ดี หรือ ทำให้ปัญหาหนักขึ้นขณะเดียวกัน คนไทยส่วนใหญ่ก็กังวล เครียดกับปัญหานี้ จึงควรช่วยกันมองในทางบวกว่า ปัญหาทุกปัญหาย่อมมีทางแก้ บทความนี้จะมองอย่างวิพากษ์ก่อน ตอนท้ายจะมองทางแก้ ในแง่บวกที่คำนึงถึงความเป็นไปได้จริง
สาเหตุของภัยน้ำท่วมหนักมากครั้งนี้ ไม่ได้เกิดจากธรรมชาติล้วนๆ แต่เกิดจากน้ำมือมนุษย์ด้วยอย่างสำคัญ โดยสภาพธรรมชาติของประเทศไทย ภาคกลางตั้งแต่อยุธยาถึงกรุงเทพฯ เคยเกิดปัญหาน้ำหลากมาเป็นประจำ ที่ท่วมหนักก็นานๆ ปีครั้ง และท่วมอยู่ไม่นาน แต่ตอนหลังที่เกิดบ่อยขึ้นและรุนแรงเสียหายเพิ่มขึ้น เป็นฝีมือมนุษย์ ส่วนใหญ่เกิดจากการพัฒนาเศรษฐกิจแบบทุนนิยมอุตสาหกรรม ที่เน้นเพิ่มการผลิตเพื่อหากำไรและการบริโภคเพื่อเสพสุขทางวัตถุมากไป จนไม่คำนึงเรื่องสิ่งแวดล้อมและการวางผังเมืองที่ดี
มีการตัดไม้ทำลายป่า ทั้งเพื่อเอาไม้ไปขาย ไปใช้ และการหักร้างถางพงทำการเกษตรเพื่อการค้าและส่งออก การทำเขื่อนเพื่อผลิตไฟฟ้าและเพื่อเกษตรแบบการค้า การทำถนน โรงงาน อาคารต่างๆ รีสอร์ท ฯลฯ มากเกินไป มีการใช้พลังงาน การผลิตบริโภคที่สร้างมลภาวะ โลกร้อน ภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง จึงเกิดฝนตกมาก สลับกับความแห้งแล้ง
เมื่อฝนตกมาก แต่ป่าเหลือน้อย ฝนจะไหลลงมาจากเขาและที่สูงรวดเร็วขึ้น เพราะไม่มีป่าไม้ช่วยอุ้มน้ำไว้ เกิดกรณีดินโคลนถล่มเห็นได้ชัด การระบายน้ำก็มีปัญหามาก เพราะไม่มีการวางผังเมืองที่ดีพอ การสร้างถนนและสิ่งก่อสร้างต่างๆ ทั้งนิคมอุตสาหกรรม บ้านเรือนขวางทางไหลน้ำ ไม่มีการขุดลอกคลอง แม่น้ำ กำจัดผักตบชวา ทำให้ตื้นเขิน น้ำไหลลงทะเลได้ช้า
ปีนี้ฤดูฝนมาเร็ว และตกบ่อย กรมอุตุฯ ก็พยากรณ์ว่าน้ำจะมาก น้ำก็เริ่มสะสมในเขื่อนมาก แต่เจ้าหน้าที่รัฐผู้ดูแลเขื่อน ไม่ได้ระบายน้ำแต่ต้นฤดูฝน รอจนน้ำมากเกือบเต็มเขื่อนจึงค่อยระบาย ซึ่งช้าเกินไป เพราะน้ำระบายลงทะเลช้าอยู่แล้ว เนื่องจากปัญหาที่ได้กล่าวมา ทำให้เมื่อกลางฤดูฝน ฝนตกมาก พร้อมกับการปล่อยน้ำจากเขื่อน น้ำจึงท่วมภาคกลางมากกว่าที่ควรเป็น
การสร้างเขื่อนใหญ่เพื่อผลิตไฟฟ้าป้อนอุตสาหกรรม การค้า และการบริการ ทั้งที่การสร้างเขื่อนใหญ่ ต้องทำลายป่าและระบบนิเวศมาก และไม่ได้แก้ปัญหาน้ำท่วมได้ การทำฝายหรือเขื่อนเล็กตามแม่น้ำ และการทำอ่างเก็บน้ำ เป็นการลงทุนชะลอการไหลของน้ำและเก็บกักน้ำไว้ใช้ได้ดีกว่าการสร้างเขื่อนใหญ่
แทนที่จะคิดเรื่องระบายน้ำลงทะเลให้เร็วขึ้น เพื่อแก้ปัญหาโดยรวม กลับแก้ปัญหาแบบทำกำแพงกั้นน้ำ ของจังหวัด อำเภอ ตำบล นิคมอุตสาหกรรม ฯลฯ เพราะคิดได้ง่ายๆ และนักการเมือง ข้าราชการต้องการหาเสียงหรือความดีความชอบในการปกป้องพื้นที่ของตน ซึ่งแก้ได้แค่บางส่วน และชั่วคราว เพราะน้ำที่มีปริมาณมาก ก็ไหลเลี้ยวไปมา ไม่ได้ระบายไปไหนไกล
หมู่บ้านจัดสรร ชุมชนต่างๆ ก็ต่างคนต่างแก้ปัญหาด้วยวิธีสร้างกำแพงป้องกันน้ำท่วมแบบเดียวกับภาครัฐ ในหลายกรณีคือการบีบน้ำให้รวมตัวสูงในบางพื้นที่และมีแรงดันมากขึ้น จึงทำลายกำแพง ประตูน้ำ เขื่อนเล็กที่สร้างกันน้ำไปจำนวนมาก ทำให้น้ำท่วมฉับพลันและเสียหายรุนแรง เพราะคนไปเชื่อนักการเมืองว่าจะป้องกันได้ แต่จริงแล้วก็ป้องกันไม่ได้ เพราะน้ำมาก ลงทะเลได้น้อยและช้า เพราะต่างคนต่างบีบให้ไปพ้นพื้นที่ตนเอง น้ำ ก็ไหลวนเวียนไปมาในภาคกลางโดยเฉพาะกรุงเทพฯ และปริมณฑล น้ำก็เลยท่วมหลายพื้นที่ และท่วมนาน
ทางแก้ไขที่ถูกต้องคือ
การจะระบายน้ำลงทะเลให้ได้เร็วและมาก ต้องเปิดประตูน้ำแบบมีการวางแผนและการควบคุม ให้น้ำไหลผ่านกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยพยายามให้ท่วมเท่าที่จำเป็น และพยายามไม่ให้อยู่นาน ด้วยการสูบน้ำ ดันน้ำออกทะเล การท่วมกรุงเทพฯ และปริมณฑล ตามบริเวณที่ใกล้ทางผ่านของน้ำและเป็นที่ต่ำ เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะปริมาณน้ำไหลลงมามาก อยู่ที่จะท่วมเมื่อไหร่เท่านั้น ถ้าระดมความเห็นนักวิชาการให้ดี และระดมกำลังในเรื่องขุดลอกคลอง สูบน้ำ ใช้เรือดันน้ำ เพื่อระบายน้ำลงทะเลเป็นหลัก แทนที่จะไปมัวทำกำแพงป้องกัน ซึ่งจริงแล้วไม่ได้ผล ก็จะเสียหายน้อยหน่อย และจะยืดเยื้อน้อยกว่า รวมทั้งจะวางแผนเคลื่อนย้าย สิ่งของ ผู้คน ให้ค่าชดเชย ช่วยเหลือเรื่องความเสียหายได้ดีกว่า
การแก้ปัญหาหลังน้ำลด ควรมีการระดมความคิด และแผนงานที่เน้นเรื่องประสิทธิภาพและความเป็นธรรม รวมทั้งเชื่อมโยงกับการแก้ไขปัญหาในระยะยาว