การหัวเราะเป็นยาอายุวัฒนะ เมื่อมีการยิ้มหรือหัวเราะ ร่างกายจะผลิตฮอร์โ การแปล - การหัวเราะเป็นยาอายุวัฒนะ เมื่อมีการยิ้มหรือหัวเราะ ร่างกายจะผลิตฮอร์โ อังกฤษ วิธีการพูด

การหัวเราะเป็นยาอายุวัฒนะ เมื่อมีกา

การหัวเราะเป็นยาอายุวัฒนะ เมื่อมีการยิ้มหรือหัวเราะ
ร่างกายจะผลิตฮอร์โมน "ความสุข" ชื่อ "เอ็ดโดฟีน" ซึ่งช่วยให้สามารถต่อสู้กับความกลัว ความเครียด ระบบย่อยอาหารดีขึ้นกระตุ้มการเจริญอาหารและระบบต่าง ๆ ในร่างกายมีการผ่อนคลาย การไหลเวียนของโลหิตดีขึ้นร่างกายได้ดีขึ้น สามารถต่อต้านและช่วยบรรเทาอาการกังวล และเจ็บปวดต่อโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ได้ และช่วยในการปรับปรุงสมดุลของฮอร์โมนต่าง ๆ ในร่างกาย การเก็บกวาดสิ่งที่ไม่ต้องการในร่างกาย เช่น คอเลสเตอรอลไขมันส่วนเกินและขยะต่าง ๆ จากจิตใจด้วย
การหัวเราะให้ความตึงเครียดผ่อนคลายลง ให้ผลดีกว่าการออกกำลังกายทุกชนิด เป็นการพักผ่อนที่ดีที่สุด ถ้าหัวเราะ 1 นาที เท่ากับได้พักผ่อนนานถึง 45 นาที การหัวเราะ ถือเป็นการออกกำลังกายชนิดหนึ่ง คนที่หัวเราะมาก ๆ จะมีชีวิตยืนยาว

นักวิทยาศาสตร์ให้ความสำคัญกับการหัวเราะนี้มากถึงขนาด
เปิดเว็บไซต์เสาะหาซุปเป้อร์โจ๊ก

เราเกิดมาแล้วก็รู้จักกับการหัวเราะกันตั้งแต่ก่อนจะพูดได้เสียอีก
ผู้ใหญ่จะหัวเราะสักวันละ 20 ครั้งได้ ส่วนเด็กๆจะหัวเราะได้ถึงวันละ 200 ครั้ง นักปรัชญาที่สำคัญๆในประวัติศาสตร์ตั้งแต่ เพลโต้ อริสโตเติ้ล ค้านท์ และ ฮูเม่ ต่างก็เขียนถึง การหัวเราะ กันมาแล้วทั้งนั้น
แต่จนกระทั่งทุกวันนี้ เรายังแทบจะไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับการหัวเราะ
มีปัญหาต่างๆมากมายที่ยังไม่มีใครตอบได้ เช่น
ผลทางกายภาพและจิตภาพโดยละเอียดจากการหัวเราะว่าเป็นอย่างไรบ้าง
ทำไมมนุษย์เราจึงมีวิวัฒนาการให้หัวเราะกันมา
เรื่องตลกมันไปทำอะไรจนสะกิดให้เกิดการหัวเราะให้เกิดขึ้นมา
ผลของเรื่องตลกต่อคนเล่าและคนฟังต่างกันอย่างไร ฯลฯ

แต่ว่ากันไปตามจริงแล้ว ก็พอจะมีสมมติฐานเกี่ยวกับเรื่องโจ๊กๆอยู่บ้าง เพียงแต่ว่า นักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาเรื่องนี้ ยังตกลงกันไม่ได้เสียเอง ทฤษฎีทางตลกศาสตร์ถึงยังไม่ได้เกิดเสียที

คนเราไม่ได้หัวเราะเมื่อได้ยินเรื่องขำๆแต่เพียงอย่างเดียว
เรายังมีการหัวเราะแก้เขิน แก้ประหม่า หรือตกใจ แม้แต่หัวเราะเพราะไม่รู้จะทำอะไร คิดอะไรไม่ออกก็หัวเราะเอาลูกเดียว บ้างก็หัวเราะตามๆเค้าไปเหมือนได้รับโรคติดต่อก็มี

จากผลการศึกษาของ รอเบิร์ต โพรไวน์ นักชีวประสาทวิทยา(neurobiologist) แห่ง มหาวิทยาลัยแมรี่แลนด์ ในบัลติมอร์ สหรัฐ จากการสังเกตการณ์ข้อมูลกว่า ๑๒๐๐ สถานการณ์
พบว่า กว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์ของการหัวเราะที่สังเกตการณ์มาวิจัยนั้น ไม่เกี่ยวกับเรื่องขำๆเลย กลับเป็นการหัวเราะคั่นประโยคเช่นที่ว่า "แน่ใจเหรอ"
"ขอนั่งร่วมโต๊ะทานข้าวด้วยได้ไหมครับ" เป็นต้น

แถมคนที่หัวเราะก็ไม่ใช่คนฟังแต่ฝ่ายเดียว ประมาณ ๔๖ เปอร์เซ็นต์ในการสังสันท์ทางสังคม คนที่หัวเราะกลับเป็นคนพูดเสียเอง หาใช่คนฟังไม่;D และการหัวเราะก็หาได้สงวนไว้ให้แต่มนุษย์เท่านั้น สัตว์ประเภทลิงที่มีวิวัฒนาการสูงๆ เช่น ชิมแพนซี ก็หัวเราะได้ด้วยเหมือนกัน แม้จะฟังเหมือนคนกำลังหืดขึ้นคอเสียมากกว่า
และในการทดลองกับหนูด้วยการจั๊กกะจี้ ก็ดูเหมือนหนูมันจะหัวเราะด้วยเหมือนกัน
(เออนะ ใครขอทุนวิจัยไปจั๊กกะจี้หนูได้นี่ ยอดมนุษย์แท้ๆ ไม่ทราบเหมือนกันว่า เวลาหนูมันหัวเราะจะมีเสียงอย่างไร)

นักวิทยาศาสตร์ต้องยอมรับว่า การหัวเราะ ไม่ใช่พฤติกรรมที่ได้มาจากการเรียนรู้ แม้ว่าสาเหตุของการหัวเราะจะต่างกันไปบ้างตามสังคมที่ต่างกัน แต่การหัวเราะ ก็เป็นพฤติกรรมที่เกิดกับทุกวัย ตั้งแต่ทารกวัยสามสี่เดือน แม้แต่เด็กหูหนวก ตาบอด เป็นใบ้ ก็ยังหัวเราะกันได้ เราเองก็คงจะผ่านความรู้สึกว่า
การหัวเราะนั้นควบคุมไม่ได้ หรือเกิดเหมือนเป็นโรคติดต่อ หลักฐานต่างๆเหล่านี้ บ่งไปในทางที่ว่า การหัวเราะเป็นพฤติกรรมที่มีมาอยู่แล้วในตัวเรา ทั้งด้านกายภาพและจิตภาพ คล้ายๆกับมีโปรแกรมเขียนติดมาแต่เกิดอย่างนั้น

แล้วเรื่องการหัวเราะมันคืออะไร เกิดมาเพื่ออะไร ได้อย่างไร


ก็มีคำอธิบายหลากหลายที่หาข้อยุติไม่ได้ บ้างก็ว่า "เป็นเหมือนเสียงเรียกร้องออกศึก "การหัวเราะและอารมณ์ขัน เกี่ยวพันกับพฤติกรรมก้าวร้าวเอาชนะกันด้วย ดูได้จากเวลานักบอลเล่นชนะ ก็จะกระโดดโลดเต้น หัวเราะเริงร่าเหมือนเกิดอาการบ้าฉับพลัน
อารมณ์ที่ผู้ชายสามารถแสดงออกได้ในที่สาธารณะมีสองอย่างเท่านั้น คือ ความสุข และ ความโกรธ"

ชาร์ลส์ กรันเร่อร์ แห่งมหาวิทยาลัยจอร์เจียเสนอข้อสมมติฐานนี้ขึ้นมา สมมติฐานในแนวนี้ก็อธิบายว่า การหัวเราะเป็นเหมือนการเชื่อมความสามัคคี เหมือนคำพังเพยฝรั่งกล่าวว่า "เราไม่ได้หัวเราะเยาะท่าน แต่เราหัวเราะไปด้วยกันกับท่าน"
เป็นการบ่งว่า การหัวเราะเป็นการคลายความตึงเครียดของสถานการณ์ยามหน้าสิ่วหน้าขวาน เป็นการสร้างความรู้สึกร่วมของคนที่หัวเราะไปด้วยกัน แล้วเป็นการผ่อนคลายทางอารมณ์ แต่ใครที่ไม่ตลกไปด้วยก็จะถูกกันออกไป กลายเป็นคนนอกไม่ได้ร่วมเป็นพวกไปด้วย

ผลการศึกษาของ โพรไวน์ แสดงด้วยว่า

เราหัวเราะอยู่คนเดียวน้อยมาก มากกว่าสามสิบเท่าของการหัวเราะ เป็นการได้หัวเราะไปกับคนอื่น และในสถานการณ์ทางสังคม
การหัวเราะ หรือทำให้คนอื่นหัวเราะได้ ก็จะเกิดผลในทางบวกตามมา
เด็กทารกก็เรียนมาจากปฏิกิริยาของแม่ที่สนองตอบต่อเสียงหัวเราะของลูก เมื่อโตขึ้นก็ได้รับการตอกย้ำไปเรื่อยว่า การสร้างเสียงหัวเราะเป็นสิ่งที่สร้างผลดี เช่น มีเพื่อนเลี้ยงข้าว หรือแม้แต่หาแฟนก็ยังได้ง่ายขึ้น :D

กระนั้นก็ดี ก็ยังไม่มีการตัดสินลงไปให้แน่ๆกันเสียที ในเรื่องทั้งหลายเกี่ยวกับการหัวเราะ รวมทั้งสาเหตุและผลของมันด้วย

เมื่อต้นปีนี้ ทีมวิจัยด้านสมองได้ค้นพบโดยบังเอิญPว่า เมื่อกระตุ้นพื้นที่ิเล็กๆ ประมาณ 2 ตารางเซ็นติเมตร ในสมองของเด็กหญิงวัย ๑๖ ที่เป็นโรคลมบ้าหมู ด้วยกระแสไฟฟ้า ก็สามารถทำให้เธอหัวเราะขึ้นมาได้ ถ้าใช้่กระแสไฟอ่อนๆ ก็หัวเราะเบาๆ ถ้าใช้กระแสไฟแรงขึ้น ก็หัวเราะลั่นสนั่นห้องไปเลย แต่การทดลองทางกายภาพนี้ ก็เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น ยังต้องมีการศึกษาค้นคว้ากันอีกมาก

นักวิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่งในอังกฤษ คือ British Association for the Advancement of Science จึงได้มีโครงการที่จะศึกษาว่า อะไรเป็นเรื่องน่าขำที่สุด ด้วยความร่วมมือจากคนทั่วโลกทางอินเตอร์เน็ต โดยขอให้คนคนที่เข้าไปที่เว็บนี้ http://www.laughlab.co.uk/home.html
ช่วยกันให้คะแน
0/5000
จาก: -
เป็น: -
ผลลัพธ์ (อังกฤษ) 1: [สำเนา]
คัดลอก!
การหัวเราะเป็นยาอายุวัฒนะ เมื่อมีการยิ้มหรือหัวเราะ
ร่างกายจะผลิตฮอร์โมน "ความสุข" ชื่อ "เอ็ดโดฟีน" ซึ่งช่วยให้สามารถต่อสู้กับความกลัว ความเครียด ระบบย่อยอาหารดีขึ้นกระตุ้มการเจริญอาหารและระบบต่าง ๆ ในร่างกายมีการผ่อนคลาย การไหลเวียนของโลหิตดีขึ้นร่างกายได้ดีขึ้น สามารถต่อต้านและช่วยบรรเทาอาการกังวล และเจ็บปวดต่อโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ได้ และช่วยในการปรับปรุงสมดุลของฮอร์โมนต่าง ๆ ในร่างกาย การเก็บกวาดสิ่งที่ไม่ต้องการในร่างกาย เช่น คอเลสเตอรอลไขมันส่วนเกินและขยะต่าง ๆ จากจิตใจด้วย
การหัวเราะให้ความตึงเครียดผ่อนคลายลง ให้ผลดีกว่าการออกกำลังกายทุกชนิด เป็นการพักผ่อนที่ดีที่สุด ถ้าหัวเราะ 1 นาที เท่ากับได้พักผ่อนนานถึง 45 นาที การหัวเราะ ถือเป็นการออกกำลังกายชนิดหนึ่ง คนที่หัวเราะมาก ๆ จะมีชีวิตยืนยาว

นักวิทยาศาสตร์ให้ความสำคัญกับการหัวเราะนี้มากถึงขนาด
เปิดเว็บไซต์เสาะหาซุปเป้อร์โจ๊ก

เราเกิดมาแล้วก็รู้จักกับการหัวเราะกันตั้งแต่ก่อนจะพูดได้เสียอีก
ผู้ใหญ่จะหัวเราะสักวันละ 20 ครั้งได้ ส่วนเด็กๆจะหัวเราะได้ถึงวันละ 200 ครั้ง นักปรัชญาที่สำคัญๆในประวัติศาสตร์ตั้งแต่ เพลโต้ อริสโตเติ้ล ค้านท์ และ ฮูเม่ ต่างก็เขียนถึง การหัวเราะ กันมาแล้วทั้งนั้น
แต่จนกระทั่งทุกวันนี้ เรายังแทบจะไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับการหัวเราะ
มีปัญหาต่างๆมากมายที่ยังไม่มีใครตอบได้ เช่น
ผลทางกายภาพและจิตภาพโดยละเอียดจากการหัวเราะว่าเป็นอย่างไรบ้าง
ทำไมมนุษย์เราจึงมีวิวัฒนาการให้หัวเราะกันมา
เรื่องตลกมันไปทำอะไรจนสะกิดให้เกิดการหัวเราะให้เกิดขึ้นมา
ผลของเรื่องตลกต่อคนเล่าและคนฟังต่างกันอย่างไร ฯลฯ

แต่ว่ากันไปตามจริงแล้ว ก็พอจะมีสมมติฐานเกี่ยวกับเรื่องโจ๊กๆอยู่บ้าง เพียงแต่ว่า นักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาเรื่องนี้ ยังตกลงกันไม่ได้เสียเอง ทฤษฎีทางตลกศาสตร์ถึงยังไม่ได้เกิดเสียที

คนเราไม่ได้หัวเราะเมื่อได้ยินเรื่องขำๆแต่เพียงอย่างเดียว
เรายังมีการหัวเราะแก้เขิน แก้ประหม่า หรือตกใจ แม้แต่หัวเราะเพราะไม่รู้จะทำอะไร คิดอะไรไม่ออกก็หัวเราะเอาลูกเดียว บ้างก็หัวเราะตามๆเค้าไปเหมือนได้รับโรคติดต่อก็มี

จากผลการศึกษาของ รอเบิร์ต โพรไวน์ นักชีวประสาทวิทยา(neurobiologist) แห่ง มหาวิทยาลัยแมรี่แลนด์ ในบัลติมอร์ สหรัฐ จากการสังเกตการณ์ข้อมูลกว่า ๑๒๐๐ สถานการณ์
พบว่า กว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์ของการหัวเราะที่สังเกตการณ์มาวิจัยนั้น ไม่เกี่ยวกับเรื่องขำๆเลย กลับเป็นการหัวเราะคั่นประโยคเช่นที่ว่า "แน่ใจเหรอ"
"ขอนั่งร่วมโต๊ะทานข้าวด้วยได้ไหมครับ" เป็นต้น

แถมคนที่หัวเราะก็ไม่ใช่คนฟังแต่ฝ่ายเดียว ประมาณ ๔๖ เปอร์เซ็นต์ในการสังสันท์ทางสังคม คนที่หัวเราะกลับเป็นคนพูดเสียเอง หาใช่คนฟังไม่;D และการหัวเราะก็หาได้สงวนไว้ให้แต่มนุษย์เท่านั้น สัตว์ประเภทลิงที่มีวิวัฒนาการสูงๆ เช่น ชิมแพนซี ก็หัวเราะได้ด้วยเหมือนกัน แม้จะฟังเหมือนคนกำลังหืดขึ้นคอเสียมากกว่า
และในการทดลองกับหนูด้วยการจั๊กกะจี้ ก็ดูเหมือนหนูมันจะหัวเราะด้วยเหมือนกัน
(เออนะ ใครขอทุนวิจัยไปจั๊กกะจี้หนูได้นี่ ยอดมนุษย์แท้ๆ ไม่ทราบเหมือนกันว่า เวลาหนูมันหัวเราะจะมีเสียงอย่างไร)

นักวิทยาศาสตร์ต้องยอมรับว่า การหัวเราะ ไม่ใช่พฤติกรรมที่ได้มาจากการเรียนรู้ แม้ว่าสาเหตุของการหัวเราะจะต่างกันไปบ้างตามสังคมที่ต่างกัน แต่การหัวเราะ ก็เป็นพฤติกรรมที่เกิดกับทุกวัย ตั้งแต่ทารกวัยสามสี่เดือน แม้แต่เด็กหูหนวก ตาบอด เป็นใบ้ ก็ยังหัวเราะกันได้ เราเองก็คงจะผ่านความรู้สึกว่า
การหัวเราะนั้นควบคุมไม่ได้ หรือเกิดเหมือนเป็นโรคติดต่อ หลักฐานต่างๆเหล่านี้ บ่งไปในทางที่ว่า การหัวเราะเป็นพฤติกรรมที่มีมาอยู่แล้วในตัวเรา ทั้งด้านกายภาพและจิตภาพ คล้ายๆกับมีโปรแกรมเขียนติดมาแต่เกิดอย่างนั้น

แล้วเรื่องการหัวเราะมันคืออะไร เกิดมาเพื่ออะไร ได้อย่างไร


ก็มีคำอธิบายหลากหลายที่หาข้อยุติไม่ได้ บ้างก็ว่า "เป็นเหมือนเสียงเรียกร้องออกศึก "การหัวเราะและอารมณ์ขัน เกี่ยวพันกับพฤติกรรมก้าวร้าวเอาชนะกันด้วย ดูได้จากเวลานักบอลเล่นชนะ ก็จะกระโดดโลดเต้น หัวเราะเริงร่าเหมือนเกิดอาการบ้าฉับพลัน
อารมณ์ที่ผู้ชายสามารถแสดงออกได้ในที่สาธารณะมีสองอย่างเท่านั้น คือ ความสุข และ ความโกรธ"

ชาร์ลส์ กรันเร่อร์ แห่งมหาวิทยาลัยจอร์เจียเสนอข้อสมมติฐานนี้ขึ้นมา สมมติฐานในแนวนี้ก็อธิบายว่า การหัวเราะเป็นเหมือนการเชื่อมความสามัคคี เหมือนคำพังเพยฝรั่งกล่าวว่า "เราไม่ได้หัวเราะเยาะท่าน แต่เราหัวเราะไปด้วยกันกับท่าน"
เป็นการบ่งว่า การหัวเราะเป็นการคลายความตึงเครียดของสถานการณ์ยามหน้าสิ่วหน้าขวาน เป็นการสร้างความรู้สึกร่วมของคนที่หัวเราะไปด้วยกัน แล้วเป็นการผ่อนคลายทางอารมณ์ แต่ใครที่ไม่ตลกไปด้วยก็จะถูกกันออกไป กลายเป็นคนนอกไม่ได้ร่วมเป็นพวกไปด้วย

ผลการศึกษาของ โพรไวน์ แสดงด้วยว่า

เราหัวเราะอยู่คนเดียวน้อยมาก มากกว่าสามสิบเท่าของการหัวเราะ เป็นการได้หัวเราะไปกับคนอื่น และในสถานการณ์ทางสังคม
การหัวเราะ หรือทำให้คนอื่นหัวเราะได้ ก็จะเกิดผลในทางบวกตามมา
เด็กทารกก็เรียนมาจากปฏิกิริยาของแม่ที่สนองตอบต่อเสียงหัวเราะของลูก เมื่อโตขึ้นก็ได้รับการตอกย้ำไปเรื่อยว่า การสร้างเสียงหัวเราะเป็นสิ่งที่สร้างผลดี เช่น มีเพื่อนเลี้ยงข้าว หรือแม้แต่หาแฟนก็ยังได้ง่ายขึ้น :D

กระนั้นก็ดี ก็ยังไม่มีการตัดสินลงไปให้แน่ๆกันเสียที ในเรื่องทั้งหลายเกี่ยวกับการหัวเราะ รวมทั้งสาเหตุและผลของมันด้วย

เมื่อต้นปีนี้ ทีมวิจัยด้านสมองได้ค้นพบโดยบังเอิญPว่า เมื่อกระตุ้นพื้นที่ิเล็กๆ ประมาณ 2 ตารางเซ็นติเมตร ในสมองของเด็กหญิงวัย ๑๖ ที่เป็นโรคลมบ้าหมู ด้วยกระแสไฟฟ้า ก็สามารถทำให้เธอหัวเราะขึ้นมาได้ ถ้าใช้่กระแสไฟอ่อนๆ ก็หัวเราะเบาๆ ถ้าใช้กระแสไฟแรงขึ้น ก็หัวเราะลั่นสนั่นห้องไปเลย แต่การทดลองทางกายภาพนี้ ก็เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น ยังต้องมีการศึกษาค้นคว้ากันอีกมาก

นักวิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่งในอังกฤษ คือ British Association for the Advancement of Science จึงได้มีโครงการที่จะศึกษาว่า อะไรเป็นเรื่องน่าขำที่สุด ด้วยความร่วมมือจากคนทั่วโลกทางอินเตอร์เน็ต โดยขอให้คนคนที่เข้าไปที่เว็บนี้ http://www.laughlab.co.uk/home.html
ช่วยกันให้คะแน
การแปล กรุณารอสักครู่..
ผลลัพธ์ (อังกฤษ) 2:[สำเนา]
คัดลอก!
การหัวเราะเป็นยาอายุวัฒนะ เมื่อมีการยิ้มหรือหัวเราะ
ร่างกายจะผลิตฮอร์โมน "ความสุข" ชื่อ "เอ็ดโดฟีน" ซึ่งช่วยให้สามารถต่อสู้กับความกลัว ความเครียด ระบบย่อยอาหารดีขึ้นกระตุ้มการเจริญอาหารและระบบต่าง ๆ ในร่างกายมีการผ่อนคลาย การไหลเวียนของโลหิตดีขึ้นร่างกายได้ดีขึ้น สามารถต่อต้านและช่วยบรรเทาอาการกังวล และเจ็บปวดต่อโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ได้ และช่วยในการปรับปรุงสมดุลของฮอร์โมนต่าง ๆ ในร่างกาย การเก็บกวาดสิ่งที่ไม่ต้องการในร่างกาย เช่น คอเลสเตอรอลไขมันส่วนเกินและขยะต่าง ๆ จากจิตใจด้วย
การหัวเราะให้ความตึงเครียดผ่อนคลายลง ให้ผลดีกว่าการออกกำลังกายทุกชนิด เป็นการพักผ่อนที่ดีที่สุด ถ้าหัวเราะ 1 นาที เท่ากับได้พักผ่อนนานถึง 45 นาที การหัวเราะ ถือเป็นการออกกำลังกายชนิดหนึ่ง คนที่หัวเราะมาก ๆ จะมีชีวิตยืนยาว

นักวิทยาศาสตร์ให้ความสำคัญกับการหัวเราะนี้มากถึงขนาด
เปิดเว็บไซต์เสาะหาซุปเป้อร์โจ๊ก

เราเกิดมาแล้วก็รู้จักกับการหัวเราะกันตั้งแต่ก่อนจะพูดได้เสียอีก
ผู้ใหญ่จะหัวเราะสักวันละ 20 ครั้งได้ ส่วนเด็กๆจะหัวเราะได้ถึงวันละ 200 ครั้ง นักปรัชญาที่สำคัญๆในประวัติศาสตร์ตั้งแต่ เพลโต้ อริสโตเติ้ล ค้านท์ และ ฮูเม่ ต่างก็เขียนถึง การหัวเราะ กันมาแล้วทั้งนั้น
แต่จนกระทั่งทุกวันนี้ เรายังแทบจะไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับการหัวเราะ
มีปัญหาต่างๆมากมายที่ยังไม่มีใครตอบได้ เช่น
ผลทางกายภาพและจิตภาพโดยละเอียดจากการหัวเราะว่าเป็นอย่างไรบ้าง
ทำไมมนุษย์เราจึงมีวิวัฒนาการให้หัวเราะกันมา
เรื่องตลกมันไปทำอะไรจนสะกิดให้เกิดการหัวเราะให้เกิดขึ้นมา
ผลของเรื่องตลกต่อคนเล่าและคนฟังต่างกันอย่างไร ฯลฯ

แต่ว่ากันไปตามจริงแล้ว ก็พอจะมีสมมติฐานเกี่ยวกับเรื่องโจ๊กๆอยู่บ้าง เพียงแต่ว่า นักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาเรื่องนี้ ยังตกลงกันไม่ได้เสียเอง ทฤษฎีทางตลกศาสตร์ถึงยังไม่ได้เกิดเสียที

คนเราไม่ได้หัวเราะเมื่อได้ยินเรื่องขำๆแต่เพียงอย่างเดียว
เรายังมีการหัวเราะแก้เขิน แก้ประหม่า หรือตกใจ แม้แต่หัวเราะเพราะไม่รู้จะทำอะไร คิดอะไรไม่ออกก็หัวเราะเอาลูกเดียว บ้างก็หัวเราะตามๆเค้าไปเหมือนได้รับโรคติดต่อก็มี

จากผลการศึกษาของ รอเบิร์ต โพรไวน์ นักชีวประสาทวิทยา(neurobiologist) แห่ง มหาวิทยาลัยแมรี่แลนด์ ในบัลติมอร์ สหรัฐ จากการสังเกตการณ์ข้อมูลกว่า ๑๒๐๐ สถานการณ์
พบว่า กว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์ของการหัวเราะที่สังเกตการณ์มาวิจัยนั้น ไม่เกี่ยวกับเรื่องขำๆเลย กลับเป็นการหัวเราะคั่นประโยคเช่นที่ว่า "แน่ใจเหรอ"
"ขอนั่งร่วมโต๊ะทานข้าวด้วยได้ไหมครับ" เป็นต้น

แถมคนที่หัวเราะก็ไม่ใช่คนฟังแต่ฝ่ายเดียว ประมาณ ๔๖ เปอร์เซ็นต์ในการสังสันท์ทางสังคม คนที่หัวเราะกลับเป็นคนพูดเสียเอง หาใช่คนฟังไม่;D และการหัวเราะก็หาได้สงวนไว้ให้แต่มนุษย์เท่านั้น สัตว์ประเภทลิงที่มีวิวัฒนาการสูงๆ เช่น ชิมแพนซี ก็หัวเราะได้ด้วยเหมือนกัน แม้จะฟังเหมือนคนกำลังหืดขึ้นคอเสียมากกว่า
และในการทดลองกับหนูด้วยการจั๊กกะจี้ ก็ดูเหมือนหนูมันจะหัวเราะด้วยเหมือนกัน
(เออนะ ใครขอทุนวิจัยไปจั๊กกะจี้หนูได้นี่ ยอดมนุษย์แท้ๆ ไม่ทราบเหมือนกันว่า เวลาหนูมันหัวเราะจะมีเสียงอย่างไร)

นักวิทยาศาสตร์ต้องยอมรับว่า การหัวเราะ ไม่ใช่พฤติกรรมที่ได้มาจากการเรียนรู้ แม้ว่าสาเหตุของการหัวเราะจะต่างกันไปบ้างตามสังคมที่ต่างกัน แต่การหัวเราะ ก็เป็นพฤติกรรมที่เกิดกับทุกวัย ตั้งแต่ทารกวัยสามสี่เดือน แม้แต่เด็กหูหนวก ตาบอด เป็นใบ้ ก็ยังหัวเราะกันได้ เราเองก็คงจะผ่านความรู้สึกว่า
การหัวเราะนั้นควบคุมไม่ได้ หรือเกิดเหมือนเป็นโรคติดต่อ หลักฐานต่างๆเหล่านี้ บ่งไปในทางที่ว่า การหัวเราะเป็นพฤติกรรมที่มีมาอยู่แล้วในตัวเรา ทั้งด้านกายภาพและจิตภาพ คล้ายๆกับมีโปรแกรมเขียนติดมาแต่เกิดอย่างนั้น

แล้วเรื่องการหัวเราะมันคืออะไร เกิดมาเพื่ออะไร ได้อย่างไร


ก็มีคำอธิบายหลากหลายที่หาข้อยุติไม่ได้ บ้างก็ว่า "เป็นเหมือนเสียงเรียกร้องออกศึก "การหัวเราะและอารมณ์ขัน เกี่ยวพันกับพฤติกรรมก้าวร้าวเอาชนะกันด้วย ดูได้จากเวลานักบอลเล่นชนะ ก็จะกระโดดโลดเต้น หัวเราะเริงร่าเหมือนเกิดอาการบ้าฉับพลัน
อารมณ์ที่ผู้ชายสามารถแสดงออกได้ในที่สาธารณะมีสองอย่างเท่านั้น คือ ความสุข และ ความโกรธ"

ชาร์ลส์ กรันเร่อร์ แห่งมหาวิทยาลัยจอร์เจียเสนอข้อสมมติฐานนี้ขึ้นมา สมมติฐานในแนวนี้ก็อธิบายว่า การหัวเราะเป็นเหมือนการเชื่อมความสามัคคี เหมือนคำพังเพยฝรั่งกล่าวว่า "เราไม่ได้หัวเราะเยาะท่าน แต่เราหัวเราะไปด้วยกันกับท่าน"
เป็นการบ่งว่า การหัวเราะเป็นการคลายความตึงเครียดของสถานการณ์ยามหน้าสิ่วหน้าขวาน เป็นการสร้างความรู้สึกร่วมของคนที่หัวเราะไปด้วยกัน แล้วเป็นการผ่อนคลายทางอารมณ์ แต่ใครที่ไม่ตลกไปด้วยก็จะถูกกันออกไป กลายเป็นคนนอกไม่ได้ร่วมเป็นพวกไปด้วย

ผลการศึกษาของ โพรไวน์ แสดงด้วยว่า

เราหัวเราะอยู่คนเดียวน้อยมาก มากกว่าสามสิบเท่าของการหัวเราะ เป็นการได้หัวเราะไปกับคนอื่น และในสถานการณ์ทางสังคม
การหัวเราะ หรือทำให้คนอื่นหัวเราะได้ ก็จะเกิดผลในทางบวกตามมา
เด็กทารกก็เรียนมาจากปฏิกิริยาของแม่ที่สนองตอบต่อเสียงหัวเราะของลูก เมื่อโตขึ้นก็ได้รับการตอกย้ำไปเรื่อยว่า การสร้างเสียงหัวเราะเป็นสิ่งที่สร้างผลดี เช่น มีเพื่อนเลี้ยงข้าว หรือแม้แต่หาแฟนก็ยังได้ง่ายขึ้น :D

กระนั้นก็ดี ก็ยังไม่มีการตัดสินลงไปให้แน่ๆกันเสียที ในเรื่องทั้งหลายเกี่ยวกับการหัวเราะ รวมทั้งสาเหตุและผลของมันด้วย

เมื่อต้นปีนี้ ทีมวิจัยด้านสมองได้ค้นพบโดยบังเอิญPว่า เมื่อกระตุ้นพื้นที่ิเล็กๆ ประมาณ 2 ตารางเซ็นติเมตร ในสมองของเด็กหญิงวัย ๑๖ ที่เป็นโรคลมบ้าหมู ด้วยกระแสไฟฟ้า ก็สามารถทำให้เธอหัวเราะขึ้นมาได้ ถ้าใช้่กระแสไฟอ่อนๆ ก็หัวเราะเบาๆ ถ้าใช้กระแสไฟแรงขึ้น ก็หัวเราะลั่นสนั่นห้องไปเลย แต่การทดลองทางกายภาพนี้ ก็เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น ยังต้องมีการศึกษาค้นคว้ากันอีกมาก

นักวิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่งในอังกฤษ คือ British Association for the Advancement of Science จึงได้มีโครงการที่จะศึกษาว่า อะไรเป็นเรื่องน่าขำที่สุด ด้วยความร่วมมือจากคนทั่วโลกทางอินเตอร์เน็ต โดยขอให้คนคนที่เข้าไปที่เว็บนี้ http://www.laughlab.co.uk/home.html
ช่วยกันให้คะแน
การแปล กรุณารอสักครู่..
ผลลัพธ์ (อังกฤษ) 3:[สำเนา]
คัดลอก!
Laughter is the elixir. When there is a smile or laugh!The body will produce hormones. "Happiness" name "ed Dauphin" which can help fight the fear, stress, digestive system better carry Bob appetite and systems . in the body are relaxed.Can resist and relieve nervous. And pain to various ailments, and help to improve the balance of various hormones in the body, to sweep things not in the body. Such as cholesterol, fat and waste.From the soul
.Laughing easing tensions. Provide better exercise of all kinds. Is the best rest. If you 1 minutes of rest for up to 45 minutes. Laughter is a kind of exercise, who laughs a lot. .
scientists gave priority to laugh this much
open website seek soup, congee bag

we are born with laughter together since before to say lose again!Adults will laugh one day each 20 times. The kids will laugh a day 200 times. The important philosophers in history, since เพลโต้ Aristotle cant and Hu you are writing to laugh it all!But until today. We can hardly anything about laughter. There are many problems that no one answered

effects, such as the physical and mental profile of a laugh how
.Why do humans have evolved to laugh.
a joke it to provoke laughter to cause. The effect of humor to the story
and how different people, etc.

.But it actually. It is a hypothesis about the joke around. However, the scientists who study this matter, did not lose own theoretical science to comedy has not happened again.

.We don't laugh when you hear the joke but only
.We have to laugh your coy, solve the nervous or frightened. Even laugh because you don't know what to do. Don't think just laugh you one. Some laugh as he like get disease have

.The study of Robert profile wine นักชี long Neurology (neurobiologist) of the University of Mary land in Baltimore, us from observation data. Situation 1 200
.Found that more than eighty percent of laughter that observation to research that has nothing to do with it. Is laughter separated phrases such as "are you sure?"
"sit at the table for dinner?" etc.

.He who laughs doesn't listen to solely about 4. 6 percent in the society, under the high end The man who laughs as people themselves, not the audience;D and laughter, then reserved to men only. Animal monkey with high evolution, such as chimpanzees, laugh too. It sounds like someone's asthma up more
.In experiments with mice with tickles. Looks like I will laugh too
(well, who research grant to tickle me this great man indeed do not know that when I laugh it off there will be sound?).

.Scientists agree that laughter is not acquired behavior from learning. Although the causes of laughter vary by social level, but the laughter is a behavior that for all ages.Even a child deaf, blind, deaf, still laughing. We would pass the sense that
.Laughter can't control. Born like disease evidence these refer to the fact that Laughter is the behavior that already in the US, both physical and mental.
.
the laughter it is born for what??


.It has a variety of explanation the settlement did not, and some said that "a sound like claim war" to laugh and humor. Dealing with aggressive behavior win. See from the time the ball play to win would skip.
.The mood that men can be expressed in public has two only is happiness and anger "

.Charles Gran เร่อร์, of the University of Georgia offers this assumption. The hypothesis in this genre is explained. Laughter is like welding harmony. Like the western law said. "We didn't laugh at you.
.It is indicated that Laughter is to release the tension of the situation when at stake. The common sense of people laugh together. It is a relaxation emotional. But who's not funny might be blocked out.
.The study of PP
wine show that

we laugh alone is very low. More than thirty times of laughter. To laugh with others, and in social situations.
.To laugh or make people laugh, it will lead to positive consequences
.Babies can learn from the reaction of the mother that meets the laughter of children. When I grow up also play around. The laughter that creates good results such as friends for a meal.:D

however still have no decision into it again. In all about laughter. As well as the cause and effect of it with

.Earlier this year, the team has P brain research discoveries. When the trigger allowing small area about 2 square centimeters in the brain of a girl aged 16 a disease epilepsy with electricity. It can make you laugh out of.Laughed gently, if electric current strength, burst out laughing loudly room, but the experiment ทางกายภาพนี้ is just a beginning. Also need to have the research more
.A group of scientists in the UK, is British Association for the Advancement of Science had a project to study. What's the most ridiculous thing. With the cooperation of people around the world via the Internet. By asking the person who enter this web http: / / www.Laughlab.co.uk / home.html
help to me.
การแปล กรุณารอสักครู่..
 
ภาษาอื่น ๆ
การสนับสนุนเครื่องมือแปลภาษา: กรีก, กันนาดา, กาลิเชียน, คลิงออน, คอร์สิกา, คาซัค, คาตาลัน, คินยารวันดา, คีร์กิซ, คุชราต, จอร์เจีย, จีน, จีนดั้งเดิม, ชวา, ชิเชวา, ซามัว, ซีบัวโน, ซุนดา, ซูลู, ญี่ปุ่น, ดัตช์, ตรวจหาภาษา, ตุรกี, ทมิฬ, ทาจิก, ทาทาร์, นอร์เวย์, บอสเนีย, บัลแกเรีย, บาสก์, ปัญจาป, ฝรั่งเศส, พาชตู, ฟริเชียน, ฟินแลนด์, ฟิลิปปินส์, ภาษาอินโดนีเซี, มองโกเลีย, มัลทีส, มาซีโดเนีย, มาราฐี, มาลากาซี, มาลายาลัม, มาเลย์, ม้ง, ยิดดิช, ยูเครน, รัสเซีย, ละติน, ลักเซมเบิร์ก, ลัตเวีย, ลาว, ลิทัวเนีย, สวาฮิลี, สวีเดน, สิงหล, สินธี, สเปน, สโลวัก, สโลวีเนีย, อังกฤษ, อัมฮาริก, อาร์เซอร์ไบจัน, อาร์เมเนีย, อาหรับ, อิกโบ, อิตาลี, อุยกูร์, อุสเบกิสถาน, อูรดู, ฮังการี, ฮัวซา, ฮาวาย, ฮินดี, ฮีบรู, เกลิกสกอต, เกาหลี, เขมร, เคิร์ด, เช็ก, เซอร์เบียน, เซโซโท, เดนมาร์ก, เตลูกู, เติร์กเมน, เนปาล, เบงกอล, เบลารุส, เปอร์เซีย, เมารี, เมียนมา (พม่า), เยอรมัน, เวลส์, เวียดนาม, เอสเปอแรนโต, เอสโทเนีย, เฮติครีโอล, แอฟริกา, แอลเบเนีย, โคซา, โครเอเชีย, โชนา, โซมาลี, โปรตุเกส, โปแลนด์, โยรูบา, โรมาเนีย, โอเดีย (โอริยา), ไทย, ไอซ์แลนด์, ไอร์แลนด์, การแปลภาษา.

Copyright ©2024 I Love Translation. All reserved.

E-mail: