1. the study of ancient Thailand (1781-2411 (1868)) This study is a study of the cultural inheritance, with the House and the temple is the center of education, such as training, home is a place of Wak members within the House. Wang is a place that combines scholars of various disciplines serve as peer before the temple is a place of religious ritual, which consists of the Lord, to serve in the training to teach the Buddhist Dharma is sufficiently evident that all three institutions have a role in this, but education training for the people in Thailand to convey from one generation to the next generation. 1.1 in the Sukhothai period (since 1781 since 1921) to manage the following:1. academic format is divided into 2 factions is that the Kingdom is divided into 2 parts: part one is education for men is like boxing, various weapons, as well as the method of Krabi Krabong and horse force. Chang's textbooks and two civilians phichai doubles strategy is education provided to civilian medical astrology classes, Bible approximate private guy. Best women's civil, women's embroidery artist classes. The dye Sewing the weave 2. the Institute for education in the(1) basic social institution that provides a place to live as their ancestors, knowledge construction, protected the art house for men and housework to households. (2) the monastery is an important study of the people in General to discipline the mind and the pursuit of their duties Dhamma.(3) Office of the Royal House of the people, as the graduates that have some knowledge of the high nobility, with architecture titled rank. Some people never learn, and then ordained as a proficient in any branch of. (4) the Office of a school of the Royal family and the aristocracy's children in the Kingdom is a Brahmin or taught postgraduate.3. วิชาที่สอน ไม่ได้กำหนดตายตัว พอแบ่งออกได้ดังนี้ (1) วิชาความรู้สามัญ สันนิษฐานว่าในช่วงต้นสุโขทัยใช้ภาษาบาลีและสันสกฤต ต่อมาในสมัยหลังจากที่พ่อขุนรามคำแหงได้ทรงประดิษฐ์อักษรไทยขึ้นใช้เมื่อ พ.ศ. 1826 จึงมีการเรียนภาษาไทยกัน (2) วิชาชีพ เรียนกันตามแบบอย่างบรรพบุรุษตระกูลใดมีความชำนาญด้านใดลูกหลานจะมีความถนัดและประกอบอาชีพตามแบบอย่างกันมา เช่นตระกูลใดเป็นแพทย์ก็จะสอนบุตรหลานให้เป็นแพทย์(3) วิชาจริยศึกษาสอนให้เคารพนับถือบรรพบุรุษการรู้จักกตัญญูรู้คุณการรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีดั้งเดิม และการรู้จักทำบุญให้ทานถือศีลในระหว่างเข้าพรรษา เป็นต้น (4) วิชาศิลปะป้องกันตัวเป็นการสอนให้รู้จักการใช้อาวุธการบังคับสัตว์ที่ใช้เป็นพาหนะในการออกศึกและตำราพิชัยยุทธ1.2 การศึกษาในสมัยกรุงศรีอยุธยา (พ.ศ. 1893 - พ.ศ. 2310) กรุงศรีอยุธยาซึ่งเป็นราชธานีอันยาวนาน 417 ปีซึ่งมีความเจริญทั้งทางด้านการเมือง เศรษฐกิจและสังคมการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ซึ่งเกิดจากมีชนชาติต่าง ๆ โดยเฉพาะในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททองและสมเด็จพระนารายณ์มหาราชลักษณะการจัดการศึกษาสมัยกรุงศรีอยุธยา มีดังนี้1. รูปแบบการจัดการศึกษา มีดังนี้ (1) การศึกษาวิชาสามัญ เน้นการอ่าน เขียนเรียนเลข อันเป็นวิชาพื้นฐานสำหรับการประกอบสัมมาอาชีพของคนไทย (2) การศึกษาทางด้านศาสนา วัดยังมีบทบาทมาก ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชเป็นต้นมามีนักสอนศาสนาหรือมิชชันนารีได้จัดตั้งโรงเรียนสอนหนังสือและวิชาอื่น ๆขึ้นเรียกโรงเรียนมิชชันนารีนี้ว่า โรงเรียนสามเณรเพื่อชักจูงให้ชาวไทยหันไปนับถือศาสนาคริสต์(3) การศึกษาทางด้านภาษาศาสตร์และวรรณคดี มีการสอนทั้งภาษาไทยบาลี สันสกฤตฝรั่งเศส เขมร พม่า มอญ และภาษาจีน (4) การศึกษาของผู้หญิงมีการเรียนวิชาชีพ การเรือนการครัว ทอผ้า กิริยามารยาทเพื่อป้องกันไม่ให้เขียนเพลงยาวโต้ตอบกับผู้ชาย แต่ผู้หญิงที่อยู่ในราชตระกูลเริ่มเรียนภาษาไทยตลอดทั้งการประพันธ์ (5) การศึกษาวิชาการด้านทหาร มีการจัดระเบียบการปกครองในแผ่นดินในรัชสมัยพระรามาธิบดีที่ 2 ทรงจัดวางระเบียบทางด้านการทหาร มีการทำบัญชี คือการเกณฑ์คนเข้ารับราชการทหาร ผู้ชายอายุตั้งแต่ 13 ปีขึ้นไปถึง 60 ปีเรียกว่าไพร่หลวง 2. สถานศึกษาในสมัยกรุงศรีอยุธยานี้ยังคงเหมือนกับสมัยสุโขทัยที่ต่างออกไป คือมีโรงเรียนมิชชันนารีเป็นโรงเรียนที่ชาวตะวันตกได้เข้ามาสร้างเพื่อเผยแพร่ศาสนาและขณะเดียวกันก็สอนวิชาสามัญด้วย3. เนื้อหาวิชาที่สอนมีสอนทั้งวิชาชีพและวิชาสามัญ กล่าวคือ (1) วิชาสามัญมีการเรียนวิชาการอ่าน เขียน เลข ใช้แบบเรียนภาษาไทยจินดามณี (2) วิชาชีพเรียนรู้กันในวงศ์ตระกูล สำหรับเด็กผู้ชายได้เรียนวิชาวาดเขียน แกะสลักและช่างฝีมือต่าง ๆ (3) ด้านอักษรศาสตร์ มีการศึกษาด้านอักษรศาสตร์มีวรรณคดีหลายเล่มที่เกิดขึ้น เช่น สมุทรโฆษคำฉันท์ และกำศรวลศรีปราชญ์ เป็นต้นอีกทั้งมีการสอนภาษาไทย บาลี สันสกฤต ฝรั่งเศส เขมร พม่า มอญ และจีน(4) วิชาจริยศึกษา เน้นการศึกษาด้านพระพุทธศาสนามากขึ้น เช่นในสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศทรงกวดขันในเรื่องการศึกษาหลักธรรมของพระพุทธศาสนา ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ทรงให้เสรีภาพไม่กีดกันศาสนาทรงอุปถัมภ์พวกสอนศาสนา 1.3 การศึกษาในสมัยธนบุรีและรัตนโกสินทร์ตอนต้น (พ.ศ. 2311 พ.ศ. 2411)
การศึกษาในสมัยนี้เช่นเดียวกับสมัยอยุธยา บ้านและวัดยังคงมีบทบาทเหมือนเดิมการจัดการศึกษาในช่วงนี้ มีดังนี้
(1) สมัยพระเจ้ากรุงธนบุรีเป็นระยะเก็บรวบรวมสรรพตำราจากแหล่งต่าง ๆที่รอดพ้นจากการทำลายของพม่า เน้นการทำนุบำรุงตำราทางศาสนา ศิลปะและวรรณคดี
(2) สมัยพระบาทสมเด็จพ
การแปล กรุณารอสักครู่..