แมกซ์ แพลงค์ (MAX PLANCK)เกิด 23 เม

แมกซ์ แพลงค์ (MAX PLANCK)
เกิด 23 เมษายน ค.ศ.1858 เมืองคีล ประเทศเยอรมนี
เสียชีวิต 3 ตุลาคม ค.ศ.1947 เมืองกอตติงเกน ประเทศเยอรมนี

แพลงค์ เป็นอีกนักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมันที่เคยได้รับรางวัลโนเบล สาขาฟิสิกส์ จากทฤษฎีควอนตัม ในปี 1918 เขาเกิดมาในครอบครัวที่ดี บิดาเป็นถึงศาสตราจารย์ด้านกฎหมายที่ มหาวิทยาลัยคีล แต่ชีวิตในวัยเด็กเขาก็ต้องโยกย้ายตามครอบครัวไปหลายที่ เพราะบิดาต้องไปทำงานหลายที่ จนจบการศึกษาด้านฟิสิกส์ ที่มหาวิทยาลัยมิวนิค เยอรมนี และได้มาทำงานเป็นอาจารย์ที่ มหาวิทยาลัยคีล จากการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับพลังงานเรื่องธรรมชาติของพลังงาน และเทอร์โบไดนาไมนิค จนทำให้เขาได้รับปริญญาเอก และเรื่องการแผ่รังสีของวัตถุ เขาพบว่าเมื่อวัตถุมีอุณหภูมิที่สูงขึ้นมักจะเปลี่ยนสี เช่นโลหะเมื่อได้รับความร้อนจะเปลี่ยนเป็นสีแดง และย่อมแผ่รัวสีเป็นสีแดงออกมาเป็นระยะๆ และเป็นอนุภาคเล็กๆ เรียกว่า ควอนตัม (QUANTUM) และไม่ได้ปล่อยออกมาเรื่อยๆ ตลอดเวลา และเขาได้ตั้งทฤษฎีนี้ว่า “ทฤษฎีควอนตัม” แต่ไม่เป็นที่ยอมรับนัก จน ไอน์สไตน์ ได้นำมาอธิบายประกอบทฤษฎีกับทฤษฎีโฟโตอิเล็กทริคเอฟเฟค จนทำให้เขาได้รับรางวัลโนเบลในที่สุด เขาได้ทำงานให้แก่ ราชบัณทิตยสภา สมาคมแห่งฟิสิกส์สหรัฐอเมริกา และสมาคมแมกส์ แพลงค์ และได้ออกวารสารด้านวิทยาศาสตร์ชื่อว่า ANNALEN DER PHYSIK เกี่ยวกับผลงานวิทยาศาสตร์ให้สาธารณชนได้รับรู้ จนเสียชีวิตในปีต่อมา

ผลงานการค้นพบ ของ แมกซ์ แพลงค์ (MAX PLANCK)
ผู้ค้นพบทฤษฎีควอนตัม (QUANTUM PHYSICS)
ได้รับรางวัลโนเบล สาขาฟิสิกส์ ในปี ค.ศ.1918

ผลลัพธ์ (อังกฤษ) 1:

Max a blank (MAX PLANCK)Born April 23 1858 khin Muang, GermanyDied October 3, 1947 City-country-oriented tating Germany แพลงค์ เป็นอีกนักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมันที่เคยได้รับรางวัลโนเบล สาขาฟิสิกส์ จากทฤษฎีควอนตัม ในปี 1918 เขาเกิดมาในครอบครัวที่ดี บิดาเป็นถึงศาสตราจารย์ด้านกฎหมายที่ มหาวิทยาลัยคีล แต่ชีวิตในวัยเด็กเขาก็ต้องโยกย้ายตามครอบครัวไปหลายที่ เพราะบิดาต้องไปทำงานหลายที่ จนจบการศึกษาด้านฟิสิกส์ ที่มหาวิทยาลัยมิวนิค เยอรมนี และได้มาทำงานเป็นอาจารย์ที่ มหาวิทยาลัยคีล จากการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับพลังงานเรื่องธรรมชาติของพลังงาน และเทอร์โบไดนาไมนิค จนทำให้เขาได้รับปริญญาเอก และเรื่องการแผ่รังสีของวัตถุ เขาพบว่าเมื่อวัตถุมีอุณหภูมิที่สูงขึ้นมักจะเปลี่ยนสี เช่นโลหะเมื่อได้รับความร้อนจะเปลี่ยนเป็นสีแดง และย่อมแผ่รัวสีเป็นสีแดงออกมาเป็นระยะๆ และเป็นอนุภาคเล็กๆ เรียกว่า ควอนตัม (QUANTUM) และไม่ได้ปล่อยออกมาเรื่อยๆ ตลอดเวลา และเขาได้ตั้งทฤษฎีนี้ว่า “ทฤษฎีควอนตัม” แต่ไม่เป็นที่ยอมรับนัก จน ไอน์สไตน์ ได้นำมาอธิบายประกอบทฤษฎีกับทฤษฎีโฟโตอิเล็กทริคเอฟเฟค จนทำให้เขาได้รับรางวัลโนเบลในที่สุด เขาได้ทำงานให้แก่ ราชบัณทิตยสภา สมาคมแห่งฟิสิกส์สหรัฐอเมริกา และสมาคมแมกส์ แพลงค์ และได้ออกวารสารด้านวิทยาศาสตร์ชื่อว่า ANNALEN DER PHYSIK เกี่ยวกับผลงานวิทยาศาสตร์ให้สาธารณชนได้รับรู้ จนเสียชีวิตในปีต่อมาผลงานการค้นพบ ของ แมกซ์ แพลงค์ (MAX PLANCK) ผู้ค้นพบทฤษฎีควอนตัม (QUANTUM PHYSICS)ได้รับรางวัลโนเบล สาขาฟิสิกส์ ในปี ค.ศ.1918

ผลลัพธ์ (อังกฤษ) 3:

maxplank (MAX PLANCK)
born 23 April 2010. 1858 city of Kiel, Germany
died 3 October. 1947 เมืองกอต Ding gain Germany

.Plank is a German scientist who received the Nobel Prize in physics of quantum theory, in 1918 he was born in a good family. His father is a professor of law at the University of Keele.Because his father had to work there. Finally graduated in physics at the University of Munich, Germany and came to work as a professor at the University of Keele. The research about the nature of energy. Energy and turbo dynamic why Nick.And the radiation of the object. He found that when the object is higher temperatures often change color. Such as metal when heated will turn red. The color red is beating and spread out periodically and a tiny particles, called quantum.And not let out a passive, all the time, and he has the theory that "the quantum theory." but not agree, so that, Einstein has brought annotation theory and the theory of photoelectric effect. That he won the Nobel prize finally.Royal บัณทิ died Council, association of physics and the United States Association of Max, plank and has released the journal Science named ANNALEN DER PHYSIK. On the works of science to the public and died a year later
.
the discovery of Max Planck (MAX PLANCK)
the quantum theory (QUANTUM PHYSICS)
won the Nobel Prize in physics in the year. In 1918.