AFP-Easter is the most important holy festival of Christians. This year, on Friday (25) ago. To celebrate the resurrection of Jesus Christ, but for the past several thousand years. At present, many people think of Easter as a cute little despicable haengkratai Festival and chocolate eggs go bad easily. It seems the root of the Easter celebrations will take place from the spring of Anglo-Saxon. That ritual agricultural Festival of worship of fertility are on Manchester or Easter. เนื่องจากกระต่ายมีพฤติกรรมผสมพันธุ์อันน่าทึ่ง สัตว์ขนปุกปุยเหล่านี้จึงถูกนำมาเป็นเครื่องบูชาเทพีอีสเตอร์ และดูเหมือนว่าชาวแองโกลแซกซันจะวาดภาพเทพเจ้าของพวกเขามีเศียรเป็นกระต่ายด้วย แม้จะไม่มีหลักฐานทางโบราณคดีชี้ชัดก็ตาม ในศตวรรษที่ 2 ชาวคริสต์ เริ่มรู้จักพิธีนอกรีตนี้และนำมาผสมผสานกับพิธีฉลองการฟื้นคืนชีพของพระเยซูคริสต์ ลักษณะเดียวกับการเฉลิมฉลองเทศกาลคริสต์มาสในช่วงฤดูหนาว คือ จัดพิธีขึ้นในวันที่ดวงอาทิตย์อยู่ห่างจากเส้นศูนย์สูตรของโลกมากที่สุด คริสตศักราช 325 จักพรรดิคอนสแตนตินพยายามสร้างแบบแผนในการฉลองวันสำคัญทางศาสนาทั้งสองโดยจัดประชุมสภาที่เมืองไนเซีย ซึ่งที่ประชุมได้กำหนดให้ฉลองเทศกาลอีสเตอร์ในวันอาทิตย์แรก หลังจากพระจันทร์เต็มดวงในวันวิษุวัต (วันที่มีกลางคืนและกลางวันเท่ากัน) ของฤดูใบไม้ผลิ ข้อกำหนดดังกล่าวถูกนำมาใช้ปฏิบัติกันจนถึงปัจจุบัน ยกเว้นในศาสนจักรออร์ทอดอกซ์ ซึ่งมีปฏิทินถือปฏิบัติแตกต่างออกไป ทั้งนี้ ตามปฏิทินดังกล่าวชาวออร์ทอดอกซ์จะจัดฉลองอีสเตอร์ในวันใดวันหนึ่งระหว่างวันที่ 21 มีนาคมถึง 25 เมษายายนของทุกปี Time in advance. On Easter with Manchester becoming strictly adhere to religious ritual, and began to replace celebration heresy. The Bunny symbol of fertility to wireless innocent symbol of wholesome meals. However, the recording of souvenir re boen b mo. Priests who recorded the events of British life in the middle ages indicate that ritual heresy also appear several centuries later, which means sometimes having to celebrate Easter twice a year. แม้ว่าจะไม่แน่ชัดว่า การมอบไข่นั้นเข้ามาเกี่ยวข้องกับเทสกาลอีสเตอร์ตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ไข่ก็เป็นสัญลักษณ์ของชีวิตและการถือกำเนิดขึ้นอีกครั้งมานานแสนนานแล้ว การระบายสีสันลงบนไข่นั้นเกิดขึ้นย้อนหลังไปถึงสมัยโรมยุคโบราณ คือ ช่วงปี 1200 ราชพงศาวดารของอังกฤษบันทึกว่า กษัตริย์เอดเวิร์ดที่ 1 ทรงใช้เงิน 18 เพนนี เพื่อซื้อไข่ 450 ฟองที่ถูกระบายสีเป็นรูปใบไม้สีทองแจกจ่ายให้แก่สมาชิกของราชวงศ์ ประเพณีค่อยๆ เป็นที่นิยมแพร่หลายในเวลาต่อมา อีก 500 ปีให้หลัง กษัตริย์หลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศสถึงกับทรงกำหนดให้อีสเตอร์เป็นประเพณีถือปฏิบัติ โดยทรงขอให้พสกนิกรมอบไข่ใบใหญ่ที่สุดที่ออกมาในช่วงสัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์แด่พระองค์ และในวันอีสเตอร์ซันเดย์พระองค์ก็จะทรงแจกไข่ระบายสีทองแก่ประชาชนและข้าราชบริพาร
พิธีการและขนบธรรมเนียมของอีสเตอร์นั้นแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ ในประเทศที่นับถือนิกายออร์ทอดอกซ์ เช่น ในกรีซ จะระบายไข่เป็นสีแดงซึ่งหมายถึงโลหิตของพระเยซู และในช่วงเลาเที่ยงคืนของวันเสาร์ก็จะพากันตีไข่ให้แตก เท่ากับเป็นการป่าวประกาศการฟื้นคืนชีพของพระเยซู
ในฝรั่งเศส การตีระฆังโบสถ์ในเช้าของวันเสาร์เป็นสัญลักษณ์หมายถึงการกลับจากโรมพร้อมไข่เต็มตะกร้า ทั้งนี้พิธีปฏิบัติดังกล่าวถูกห้ามระหว่างศตวรรษที่ 7 ด้วยเป็นสัญลักษณ์ของการไว้ทุกข์จากวันมอนดีเทอร์สเดย์ (วันพฤหัสบดีก่อนวันอีสเตอร์) ถึงวันอีสเตอร์ซันเดย์ (วันอีสเตอร์)
ระยะเวลาผ่านไปหลายร้อยปี แม้แต่กระต่ายอีสเตอร์ก็ได้เกิดใหม่เช่นกัน กระต่ายปุกปุยแสนน่ารักที่เป็นส่วนหนึ่งของเทศกาลในปัจจุบันนั้น มีต้นกำเนิดช่วงทศวรรษ 1500 จากเรื่องราวของ ออชเทอร์ ฮาวส์ กระต่ายวิเศษที่เด็กๆ ชาวเยอรมันเชื่อว่าจะออกไข่ทิ้งไว้ให้ตามสวน
ชาวดัตช์และชาวเยอรมันรุ่นแรกที่เดินทางข้ามมหาสมุทรไปตั้งถิ่นฐานใหม่ ได้นำกระต่ายอีสเตอร์ไปสู่ทวีปอเมริกาด้วย และอีกหลายร้อยปีที่ผ่านมา การตลาดอันชาญฉลาดและการค้าช็อกโกแลตที่เติบโตขึ้น ทำให้ห้างร้านต่างๆ ล้วนแต่มีขนมหวานรูปกระต่ายและไข่วางขายเต็มเพียบในช่วงเทศกาลอีสเตอร์แต่ละปี
การแปล กรุณารอสักครู่..
