ความเป็นมาของประเพณีการดื่มชา
"ชา" ขึ้นชื่อว่าเป็นเครื่องดื่มที่ให้ความสดชื่นมาตั้งแต่ครั้งแรกที่พบเรื่องราวของชาด้วยการบอกปากต่อปากโดยไม่มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการจนสมัยราชวงศ์ถัง ค.ศ. 618 - 906 ชาได้รับการยกย่องเป็นเครื่องดื่มประจำชาติของจีน แล้วศัพท์คำว่าชา หรือ Cha 茶 ก็ถูกบัญญัติขึ้นเพื่อเรียกใบไม้ชนิดหนึ่งเมื่อนำมาต้มดื่มมีกลิ่นหอม ชุ่มคอ มีสีน้ำตาล
ชาวจีนดื่มชาโดยมีประวัติการดื่มชามากว่า 4000 ปีแล้ว ชาเป็นเครื่องดื่มที่ขาดไม่ได้ในชีวิตประจำวันของชาวจีน สิ่งของ 7 อย่างในชีวิตประจำวันของคนจีนคือ ไม้ ข้าว น้ำมัน เกลือ ซีอิ้วน้ำส้มและชา เห็นได้ว่าชามีความสำคัญมากสำหรับชาวจีน การเลี้ยงน้ำชาเป็นประเพณีของชาวจีน พอมีแขกมาเยี่ยมที่บ้าน เจ้าของบ้านก็จะรีบชงชาที่มีกลิ่นหอมทันที ดื่มชาไปพลางคุยกันไปพลาง ซึ่งเป็นบรรยากาศสบาย ๆ
ประเพณีดื่มชาในจีนมีประวัติยาวนาน เล่ากันว่า ปี 280 ก่อนคริสต์ศักราช ทางภาคใต้ของจีนมีก๊กเล็กชื่อ หวูกั๋ว กษัตริย์ของก๊กนี้โปรดจัดงานเลี้ยงขุนนาง และดื่มเหล้ากันจนเมาไปหมด แต่มีขุนนางคนหนึ่งชื่อเหว่ยจาวดื่มเหล้าไม่เก่ง กษัตริย์ก็เลยโปรดให้เขาดื่มชาแทนเหล้า หลังจากนั้น ปัญญาชนก็เริ่มใช้ชาเลี้ยงแขก จนถึงสมัยราชวงศ์ถัง การดื่มชาได้กลายเป็นความเคยชินของชาวจีน เล่ากันว่า ประเพณีนี้ยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับศาสนาพุทธ ประมาณปี ค.ศ 713 – 741 ในพุทธศาสนานิกายเซนของจีน พระสงฆ์และศาสนิกในวัดต้องนั่งเข้าฌานเป็นเวลานาน บางครั้งรู้สึกง่วงและอยากกินของเล่น เจ้าอาวาสก็คิดวิธีให้ดื่มชา ทำให้ประสาทดื่น หลังจากนั้น วิธีนี้ก็ได้เผยแพร่ไปตามท้องถิ่นต่าง ๆ ในช่วงเวลาเดียวกัน ในสมัยราชวงศ์ถัง ตามบ้านเศรษฐียังมีการจัดห้องต้มน้ำชา ชิมชาและอ่านหนังสือโดยเฉพาะ
ปี ค.ศ 780 นายลู่อวี่ ผู้เชี่ยวชาญด้านใบชาของถังได้รวบรวมประสบการณ์การปลูกชา ผลิตใบและดื่มชา และได้เขียนตำราชาซึ่งเป็นหนังสือเกี่ยวกับชาเล่มแรกของจีน ในสมัยราชวงศ์ซ่ง ฮ่องเต้ ซ่งฮุยจง ชอบจัดงานเลี้ยงน้ำชาขุนนางผู้ใหญ่ และทรงต้มน้ำชาเอง ในพระราชวังหลวงของสมัยราชวงศ์ถัง ยังจัดงานน้ำชาเลี้ยงทูตานุทูตต่างประเทศ ปัจจุบันในวันเทศกาลเช่นวันขึ้นปีใหม่หรือวันตรุษจีน หน่วยงานและองค์กรต่าง ๆ ของจีนส่วนมากจะจัดงานเลี้ยงน้ำชาสัมมนา
ในจีน ชาได้กลายเป็นวัฒนธรรมพิเศษชนิดหนึ่งแล้ว ผู้คนถือการต้มน้ำชาและการชิมชาเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง ตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน ท้องถิ่นต่าง ๆ ของจีนมีโรงน้ำชาหรือร้านน้ำชามากมาย ที่ถนนเฉียนเหมิน ซึ่งเป็นย่านคึกคักของกรุงปักกิ่งก็มีร้านน้ำชาโดยเฉพาะ ผู้คนสามารถดื่มชา กินอาหารพื้นเมืองและชมการแสดงต่าง ๆ เป็นวิธีพักผ่อนที่สบาย ในทางภาคใต้ของจีน นอกจากมีร้านน้ำชาและโรงน้ำชาแล้ว ยังมีเพิงน้ำชากลางแจ้ง ส่วนมากจะสร้างตามสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ นักท่องเที่ยวจะนั่งดื่มชาและชมวิวไปด้วย
ถ้ากล่าวถึงความเคยชินในการดื่มชาทุกที่จะไม่ค่อยเหมือนกัน เช่น ชาวปักกิ่งชอบชามะลิ ชาวเซี่ยงไฮ้ชอบชาเขียว ชาวฮกเกี้ยนที่อยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ของจีนชอบชาแดง ในท้องถิ่นบางแห่ง ผู้คนชอบใส่เครื่องปรุงรสในน้ำชา มณฑลหูหนานทางภาคใต้ของจีนจะเลี้ยงแขกด้วยชาขิงเกลือ คือนอกจากมีใบชาแล้ว ยังมีเกลือ ขิง ถั่วเหลืองผักสุกและเมล็ดงา เทใส่ในแก้วทั้งหมดและชงน้ำแช่ไว้ ดื่มน้ำชาก่อน สุดท้ายจึงเทถั่วเหลือง เมล็ดงา ขิงและใบชาเข้าปาก ค่อย ๆ เคี้ยวจนได้กลิ่นหอม ดังนั้นท้องถิ่นบางแห่งจึงเรียกว่ากินชา
วิธีชงชาของท้องถิ่นต่าง ๆ ก็ไม่เหมือนกัน เช่นทางภาคตะวันออกของจีนส่วนมากจะใช้กาใหญ่ พอมีแขกเข้าบ้าน ก็ใส่ใบชาในกาและเทน้ำร้อนใส่ลงไป แช่ไว้จนได้กลิ่นและสีชาแล้วจึงรินใส่แก้วให้แขกดื่ม บางท้องถิ่นของจีนเช่นเมืองจางโจวของมณฑลฮกเกี้ยนจะมี กังฮูเต๊ มีเครื่องถ้วยชากาชาเป็นชุดและมีวิธีการชงชาที่พิเศษ จึงกลายเป็นศิลปะชาที่มีเอกลักษณ์ของพื้นเมือง
ในท้องถิ่นบางแห่งของจีน มารยาทการดื่มชาก็ไม่เหมือนกัน ที่กรุงปักกิ่ง พอเจ้าของบ้านยกถ้วยน้ำชามาให้ แขกต้องลุกขึ้นทันที เอาสองมือรับไว้และขอบคุณด้วย ในทางภาคใต้ของจีนเช่นมณฑลกวางตุ้ง มณฑลกวางสีเป็นต้น พอเจ้าของบ้านยกชามาให้ แขกต้องใช้นิ้วกลางขวามือเคาะโต๊ะเบา ๆ สามครั้ง เพื่อแสดงความขอบคุณ ในบางท้องถิ่น ถ้าแขกอยากจะดื่มชาต่อ ก็ควรเหลือน้ำชาสักเล็กน้อยไว้ในถ้วย เจ้าของบ้านเห็นแล้วก็จะรินชาเติมให้ ถ้าดื่มน้ำชาในถ้วยจนหมด เจ้าของบ้านก็จะคิดว่าแขกไม่อยากดื่มอีก ก็จะไม่เติมน้ำชาให้อีกแล้ว
เรื่องชาจีนได้ถูกบันทึกในหนังสือจีนชื่อ เอ่อหยา โดยขุนนางในจักรพรรดิชูส์ โดยให้คำจำกัดความคำว่า "ชา"
ชา คือ สมุนไพรรสขมชนิดหนึ่ง จากบันทึกของมณฑลห้วยหยาง ( ปัจจุบัน คือ มณฑล ซิฉวน ) ในช่วงทำสงครามระหว่างกษัตริย์วู ในราชวงศ์ชูส์ กษัตริย์องค์สุดท้ายของราชวงศ์ซาง ในปี 1066 ก่อนคริสต์กาล ทหารมณฑลชูส์ซึ่งมาร่วมรบได้นำชาและน้ำผึ้งมาเป็นเครื่องบรรณาการแก่กษัตริย์ด้วย หลักฐานสำคัญเกี่ยวกับเรื่องชาที่สืบทอดมาจนทุกวันนี้ คือ "คัมภีร์ชาของหลูอยู่ " โดยหลูอยู่เกิดในมณฑล เหอเปอ ระหว่าง ค.ศ. 728 - 804 ... หลูอยู่มีความสนใจเรื่องชามาก
ชนิดของชา
ชาอูหลง การผลิตชาอูหลง ผ่านกระบวนการผลิตด้วยการหมักแต่เพียงครึ่งหนึ่ง จึงทำให้รสชาติและสรรพคุณอยู่ระหว่างชาดำและชาเขียว กระบวนการผลิตชาอูหลงเริ่มจากนำใบชามาทำให้แห้งลีบโดยใช้เวลาทั้งสิ้น 6 ชั่วโมง หลังจากนั้นจึงนำไปกลิ้งด้วยลูกกลิ้ง ฉีก และหมักด้วยระยะเวลาสั้น ๆ
ชาอูหลง (ชามังกรดำ) เป็นชาที่มีถิ่นกำเนิดจากมณทลฟูเจี้ยน (ฮกเกี้ยน) มีเรื่องเล่าตามตำนานว่า ไร่ที่ปลูกชามีงูดำตัวเล็ก ที่ไม่ทำร้ายคน เลื้อยพันต้นชาอยู่เป็นจำนวนมาก เริ่มแรก ชาวไร่จึงเรียกชาชนิดนี้ว่า ชางูดำ แต่ด้วยความที่เกิดความรู้สึกจั๊กจี๋ กับคำว่า "งู" จึงได้เปลี่ยนชื่อเป็น ชามังกรดำ
ชาอูหลง นอกจากแหล่งกำเนิดที่ มณฑลฟูเจี้ยนแล้ว ยังมีแหล่งผลิตใหญ่อีก ที่ เกาะไต้หวัน ซึ่งชาวไต้หวันนั้นนิยมดื่มชาอูหลงมาก ถือว่าเป็นตลาดใหญ่ของชาอูหลงเลยทีเดียว ชาอูหลง ที่มีชื่อเสียงของเกาะไต้หวันคือ ต้งติ่งอูหลง ซึ่งเป็นชาอูหลงที่ปลูกบนภูเขาต้งติ่ง จึงนำชื่อภูเขามาตั้งเป็นชื่อชา ถ้าเปรียบเทียบกับกาแฟ คงจะเหมือนกัน