การที่บุคคลหนึ่งไปอยู่ในอีกวัฒนธรรม

การที่บุคคลหนึ่งไปอยู่ในอีกวัฒนธรรมหนึ่งซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงที่งสภาพสังคม สิ่งแวดล้อม รวมถึงวัฒนธรรมที่แตกต่างจากวัฒนธรรมเดิมที่คุ้นเคย ก็อาจทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า Culture Shock ได้
โดยปรากฏการณ์ดังกล่าวแบ่งออกเป็น 3 ระยะด้วยกัน
ในขั้นแรกนั้นเรียกว่า Honeymoon Phase หรือหากจะเรียกว่า ช่วงเห็นดีเห็นงามคงไม่ผิดนัก เพราะเหมือนกับการฮันนีมูนที่เราจะเห็นแต่ความสวยงาม ราบรื่นไปเสียทุกอย่างจนไม่อาจเห็นข้อบกพร่องเลย เช่น มองว่าบ้านเมืองเขาสะอาด น่าอยู่ มีสถาปัตยกรรมที่สวยงาม มีเอกลักษณ์ สถานที่ท่องเที่ยวน่าเยี่ยมเยือน อาหารก็น่ารับประทานไปเสียหมด เป็นต้น

ส่วนระยะต่อมาเรียกว่า Negotiation Phase หรือ Culture Shock Phase โดยจะเกิดขึ้นหลังจากผ่านช่วง Honeymoon Phase ไปเพียงไม่นาน ผู้ที่เข้าไปอยู่ในวัฒนธรรมใหม่จะเปรียบเทียบวัฒนธรรมใหม่กับวัฒนธรรมดั้งเดิมของตน โดยมองวัฒนธรรมใหม่ในเชิงลบ เช่น ผู้คนขาดความเป็นมิตร หยาบคาย รู้สึกแปลกแยก รู้สึกว่าตนเองไม่ใช่ส่วนหนึ่งของสังคม ในช่วงนี้จะเกิดภาวะอารมณ์แปรปรวนมากเป็นพิเศษ มีอาการวิตกจริตและซึมเศร้าร่วมด้วย หลายคนถึงกับเก็บตัวอยู่ที่ห้องและมีอาการคิดถึงบ้าน (Homesick) เช่นนักเรียนแลกเปลี่ยนหลายคนที่สอบชิงทุนเพื่อเดินทางมาเรียนที่ประเทศต่างๆ และต้องจากบ้านเกิดเมืองนอนของตนจะมีความรู้สึกว้าเหว่ โดดเดี่ยว รู้สึกเหมือนไม่มีใครอยู่เคียงข้าง สูญเสียความมั่นใจในตนเอง จนกระทั่งเกิดการเก็บตัวอยู่แต่ในห้อง ไม่ยอมออกมาพบปะผู้คน รู้สึกว่าผู้คนในวัฒนธรมนั้นๆ ไร้การปฏิสัมพันธ์ต่อกัน บางรายจะมีอาการไม่อยากอาหารเลยและมีอาการซึมเศร้า ร้องไห้โดยไม่มีเหตุผล โดยอาการนี้อาจเป็นอยู่ประมาณ 3-6 เดือน อาจนานกว่าหรือใช้เวลาน้อยกว่านี้ขึ้นอยู่กับการปรับตัวของแต่ละคน แต่ถ้ามีเพื่อนซึ่งเผชิญชะตากรรมเดียวกัน แบ่งปันทุกข์สุขร่วมกัน อาการ Homesick ที่ว่านี้ก็จะหายเร็วขึ้น


แต่ถ้าใครที่มาแบบฉายเดี่ยวก็จะรู้สึกโดดเดี่ยวมากหน่อย แต่ให้ลองเปิดใจและผูกมิตรกับบุคคลรอบข้างดู พยายามพาตัวเองออกมาจากห้องเดินสำรวจสถานที่ใหม่ๆ ให้เกิดความคุ้นเคย อย่าปล่อยให้ “ความกลัว” กลายเป็นอุปสรรคและเป็นสิ่งที่กำหนดการใช้ชีวิตของเรา หลังจากหมดระยะนี้ก็จะมาถึงระยะสุดท้ายที่เริ่มปรับตัวได้ คือ Adjustment Phase ซึ่งผู้ที่เข้าไปอยู่ในวัฒนธรรมใหม่จะเริ่มปรับตัวเข้ากับวัฒนธรรมและสังคมนั้นๆ อย่างไร้อคติ และสามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้ แต่เมื่อกลับไปยังประเทศบ้านเกิดตัวเองก็สามารถเกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า Reverse Culture Shock ที่เมื่อเกิดความเคยชินกับวัฒนธรรมและสังคมใหม่แล้ว เมื่อกลับมาสู่วัฒนธรรมเก่าก็กลับรับไม่ได้กับสังคมบ้านเกิดตนอีกต่อไป เช่น รู้สึกไม่ชอบรสชาติอาหารแบบเดิม ไม่ชอบความไร้ระเบียบของผู้คนและความสกปรกของถนนหนทาง เป็นต้น แต่หากบุคคลนั้นมีความคิดที่ว่า “โลกคือบ้าน” กล่าวคือชอบเดินทางท่องเที่ยวไปยังสถานที่แปลกใหม่ ปรับตัวเข้าไปผู้คนง่าย อยู่ที่ไหนก็ได้ ปรากฏการณ์ Culture Shock จะเกิดน้อยลงจนถึงไม่เกิดเลย

ผลลัพธ์ (อังกฤษ) 1:

One of the people in another culture which is updating the social changes. The environment, including the culture that is different from the original, familiar culture. It can cause a phenomenon called Culture Shock. By such phenomenon is divided into 3 phases together. In the first Phase or Honeymoon is called if a range is called beauty on the other hand, does not see the same mistake because the honeymoon that we see, but beautiful. To everything until smooth, do not look like perfect might see that his home city clean and livable. The beautiful architecture. There are unique. Visit attractions and what to eat to lose it all, etc. ส่วนระยะต่อมาเรียกว่า Negotiation Phase หรือ Culture Shock Phase โดยจะเกิดขึ้นหลังจากผ่านช่วง Honeymoon Phase ไปเพียงไม่นาน ผู้ที่เข้าไปอยู่ในวัฒนธรรมใหม่จะเปรียบเทียบวัฒนธรรมใหม่กับวัฒนธรรมดั้งเดิมของตน โดยมองวัฒนธรรมใหม่ในเชิงลบ เช่น ผู้คนขาดความเป็นมิตร หยาบคาย รู้สึกแปลกแยก รู้สึกว่าตนเองไม่ใช่ส่วนหนึ่งของสังคม ในช่วงนี้จะเกิดภาวะอารมณ์แปรปรวนมากเป็นพิเศษ มีอาการวิตกจริตและซึมเศร้าร่วมด้วย หลายคนถึงกับเก็บตัวอยู่ที่ห้องและมีอาการคิดถึงบ้าน (Homesick) เช่นนักเรียนแลกเปลี่ยนหลายคนที่สอบชิงทุนเพื่อเดินทางมาเรียนที่ประเทศต่างๆ และต้องจากบ้านเกิดเมืองนอนของตนจะมีความรู้สึกว้าเหว่ โดดเดี่ยว รู้สึกเหมือนไม่มีใครอยู่เคียงข้าง สูญเสียความมั่นใจในตนเอง จนกระทั่งเกิดการเก็บตัวอยู่แต่ในห้อง ไม่ยอมออกมาพบปะผู้คน รู้สึกว่าผู้คนในวัฒนธรมนั้นๆ ไร้การปฏิสัมพันธ์ต่อกัน บางรายจะมีอาการไม่อยากอาหารเลยและมีอาการซึมเศร้า ร้องไห้โดยไม่มีเหตุผล โดยอาการนี้อาจเป็นอยู่ประมาณ 3-6 เดือน อาจนานกว่าหรือใช้เวลาน้อยกว่านี้ขึ้นอยู่กับการปรับตัวของแต่ละคน แต่ถ้ามีเพื่อนซึ่งเผชิญชะตากรรมเดียวกัน แบ่งปันทุกข์สุขร่วมกัน อาการ Homesick ที่ว่านี้ก็จะหายเร็วขึ้น แต่ถ้าใครที่มาแบบฉายเดี่ยวก็จะรู้สึกโดดเดี่ยวมากหน่อย แต่ให้ลองเปิดใจและผูกมิตรกับบุคคลรอบข้างดู พยายามพาตัวเองออกมาจากห้องเดินสำรวจสถานที่ใหม่ๆ ให้เกิดความคุ้นเคย อย่าปล่อยให้ “ความกลัว” กลายเป็นอุปสรรคและเป็นสิ่งที่กำหนดการใช้ชีวิตของเรา หลังจากหมดระยะนี้ก็จะมาถึงระยะสุดท้ายที่เริ่มปรับตัวได้ คือ Adjustment Phase ซึ่งผู้ที่เข้าไปอยู่ในวัฒนธรรมใหม่จะเริ่มปรับตัวเข้ากับวัฒนธรรมและสังคมนั้นๆ อย่างไร้อคติ และสามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้ แต่เมื่อกลับไปยังประเทศบ้านเกิดตัวเองก็สามารถเกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า Reverse Culture Shock ที่เมื่อเกิดความเคยชินกับวัฒนธรรมและสังคมใหม่แล้ว เมื่อกลับมาสู่วัฒนธรรมเก่าก็กลับรับไม่ได้กับสังคมบ้านเกิดตนอีกต่อไป เช่น รู้สึกไม่ชอบรสชาติอาหารแบบเดิม ไม่ชอบความไร้ระเบียบของผู้คนและความสกปรกของถนนหนทาง เป็นต้น แต่หากบุคคลนั้นมีความคิดที่ว่า “โลกคือบ้าน” กล่าวคือชอบเดินทางท่องเที่ยวไปยังสถานที่แปลกใหม่ ปรับตัวเข้าไปผู้คนง่าย อยู่ที่ไหนก็ได้ ปรากฏการณ์ Culture Shock จะเกิดน้อยลงจนถึงไม่เกิดเลย

ผลลัพธ์ (อังกฤษ) 2:

The one person in another culture with the changes in the social environment, including cultural differences from the familiar culture. It can cause a phenomenon called Culture Shock is
the phenomenon into three stages with
the first stage is called the Honeymoon Phase, or if it is called. During agree not wrong. It's like a honeymoon that we will see, but beautiful. Everything went smoothly until I could not see a defect, such as a house that is clean, he has beautiful architecture and unique sights worth visiting. Food was eaten away. Etc. The term was later called Culture Shock Phase Negotiation Phase or will occur only after the Honeymoon Phase shortly. The latest in a new culture to compare a new culture with its traditional culture. By a new culture in the negative, as people lack a sense of alienation rude. Feel that they are not part of society. During this severe mood swings are very special. With paranoia and depression together. Many of them were kept in a room and feeling homesick (Homesick), like many students who won a scholarship to come study in different countries. And from their homeland are feeling lonely, isolated feel like nobody's side. Loss of self-confidence Until confinement in my room. Not out meeting people. People feel that the Culture itself. The wireless interactions Some will not have any appetite and depression. Crying without reason The symptoms may be about 3-6 months, may take longer or shorter depending on the adjustment of the individual. I have a friend who suffered the same fate. Share everlasting suffering symptoms Homesick that it will heal faster if I was solo I would feel very lonely. But keep an open mind and try to make friends with the people around you see. Trying to get himself out of the room to explore new places. Do not let the familiar "fear" became an obstacle and is scheduled to run our lives. After this period, it will come to an end at the start Adjustment Phase adjustment is made ​​by entering a new culture will begin to adapt to the culture and society without any bias and that life can continue. But back to the home country itself, it can cause a phenomenon called the Reverse Culture Shock on habituation to a new culture and society. Upon returning to the old culture, it does not get back to their homeland, society no longer feels like not like the taste of traditional food. Do not like the lawlessness of the people and the filth of the streets, but if the person has no idea that "the world is home," ie like trips to exotic locations. Adapting to the Friendly Culture Shock is where the phenomenon will not occur until less so.