นานมาแล้วยังมีครอบครัวหนึ่ง มีลูกชายชื่อว่าทอง ทองเป็นชายหนุ่มนิสัยวู่วามเอาแต่ใจตนเอง วันหนึ่งเขาออกไปทำนาตั้งแต่เช้ามืด รออยู่จนสายไม่เห็นแม่นำข้าวมาส่งทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดเพราะหิวจนแสบท้องคอยชะเง้อมองหาแม่ ครั้นดวงตะวันลอยสูงขึ้นเกือบจะตรงศรีษะเห็นแม่ถือกล่องข้าวเดินกระย่องกระแย่งมาแต่ไกล ทองรีบลุกออกจากร่มไม้ตรงเข้าไปต่อว่าทันที
“แม่มัวทำอะไรอยู่ รู้หรือเปล่าว่าข้าหิวจวนจะเป็นลมอยู่แล้ว”
“อย่าโกรธเลยลูก” แม่หยุดยืนหอบหายใจถี่ๆด้วยความเหนื่อยเนื่องจากเดินฝ่าเปลวแดดมาเป็นระยะทางไกล
“แม่เป็นไข้ไม่ค่อยสบายพอลุกขึ้นไหวก็รีบหุงข้าวหุงปลาแล้วเอามาให้ลูกนี่แหละ”
“แล้วทำไมถึงเอาข้าวใส่กล่องใบเล็กนิดเดียวมาให้ข้าจะพอกินได้ยังไง”
“ถึงกล่องจะเล็ก แต่แม่ก็อัดข้าวมาแน่นนะลูก”
“พูดมากอยู่นั่นแหละ รีบส่งข้าวมาให้ข้าเร็วเข้า”
ทองกระชากกล่องข้าวมาจากมือแม่จนแม่เสียหลักล้มลงแต่ชายหนุ่มก็ไม่สนใจใยดี รีบเปิดกล่องข้าวกินอย่างหิวโหย เมื่ออิ่มแล้วจึงรู้ว่าแม่พูดจริงเพราะข้าวในกล่องยังเหลืออีกตั้งมาก ทองเห็นแม่นอนแน่นิ่งไม่เคลื่อนไหวรีบเข้าไปดู ปรากฏว่าหญิงชราล้มหัวฟาดพื้นสิ้นใจไปแล้ว ชายหนุ่มเริ่มสำนึกตัวว่าตนเองทำรุนแรงกับแม่ เขาเข้าไปกอดศพแม่ร้องให้รำพัน
“แม่จ๋าลูกผิดไปแล้ว ลูกไม่น่าทำแบบนี้กับแม่เลย”
แต่แม่ของเขาก็ไม่มีวันฟื้นขึ้นมาได้อีกแล้วทองได้สร้างพระธาตุขึ้นมาองค์หนึ่ง ณ ที่นั้น เพื่ออุทิศส่วนกุศลและใส่กระดูกของแม่ไว้
เนื่องจากลักษณะของพระธาตุคล้ายกล่องที่แม่ใส่ข้าวมาให้ ชาวบ้านจึงเรียกว่า “พระธาตุกล่องข้าวน้อย” ซึ่งในปัจจุบันอยู่ในเขตจังหวัดยโสธร (ยโสธรเคยเป็นจังหวัดหนึ่งในจังหวัดอุบลราชธานี)
ข้อคิดจากนิทานเรื่องนี้ เราเป็นลูกควรจะมีความกตัญญูกตเวทีต่อพ่อแม่ ไม่ควรทำอะไรวู่วามเอาแต่ใจตนเอง ไม่เช่นนั้นจะได้รับความเดือดร้อนเหมือนกับนิทานเรื่องนี้