เล่ากันว่าแต่เดิมนั้น เมื่อถึงวันขึ้น 13 ค่ำ เดือน 11 ชาวบ้านต่างอำเภอจะพากันพายเรือมาที่อำเภอบางพลี พร้อมกับร้องรำทำเพลงและประโคมเครื่องดนตรีกันอย่างครื้นเครงใครรู้จักคุ้นเคยกับบ้านไหน ก็จอดเรือขึ้นไปเยี่ยมเยียนกัน เจ้าของบ้านชาวบางพลีก็มักจะตระเตรียมข้าวปลาอาหาร อีกทั้งเครื่องดองของเมาไว้คอยต้อนรับ หากการเลี้ยงดูนั้นติดพันจนดึกดื่น เจ้าของบ้านก็อาจจะต้องปูเสื่อให้ผู้มาเยือนนอนค้างเสียด้วยกัน
เช้าวันรุ่งขึ้นซึ่งเป็นวันขึ้น 14 ค่ำ ถือเป็นวันรับบัว-โยนบัว ชาวบ้านจากต่างอำเภอจำนวนมากจะพากันพายเรือมาขอรับดอกบัวจากชาวบางพลี การให้และการรับดอกบัวจะกระทำกันอย่างสุภาพ คือส่งและรับมือต่อมือ และก่อนที่จะยื่นดอกบัวให้นั้น ก็มักจะมีการพนมมืออธิษฐานเสียก่อน ด้วยถือว่าเป็นการทำกุศลร่วมกัน
ต่อมาประเพณีรับบัวได้เลือนหายไปแต่เมื่อนายชื้น วรศิริ ได้เป็นนายอำเภอบางพลีในระหว่าง พ.ศ. 2478-2481 จึงได้รื้นฟื้นประเพณีรับบัวขึ้นมาใหม่ มีการแต่งเรือประกวดประขันกัน เรือที่จัดเข้าประกวดในคราวนั้น มีการนำไม้ไผ่มาสานเป็นโครงรูปองค์พระพุทธรูปปิดหุ้มด้วยกระดาษทองตั้งมาบนเรือ สมมติว่าเป็นหลวงพ่อโตแห่งวัดบางพลีใหญ่ จึงกลายมาเป็นธรรมเนียมในปีต่อๆ มาในการอัญเชิญพระพุทธรูปหลวงพ่อโตจำลองลงเรือ ล่องมาตามคลองสำโรง เพื่อให้ชาวบางพลีทั้งสองฝั่งคลองถวายดอกบัวด้วยการโยนดอกบัวลงไปในลำเรือขณะเดียวกัน ลูกศิษย์หลวงพ่อโตบนเรือก็จะโยนข้าวต้มมัด