เจิ้งเหอและกรุงศรีอยุธยา
เจิ้งเหอเข้ามากรุงศรีอยุธยาในรัชสมัยสมเด็จพระรามราชาธิราช หรือ สมเด็จพระราม หรือ สมเด็จพระยาราม ซึ่งเป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระราเมศวร ทรงเป็นกษัตริย์พระองค์ที่ 5 พระองค์ได้ทรงส่งราชทูตไปเจริญทางพระราชไมตรีกับประเทศจีน เมื่อปี พ.ศ. 1940 และก็ได้ส่งทูตแลกเปลี่ยนสัมพันธไมตรีอยู่เสมอในระยะต่อ ๆ มา พระองค์ไม่ไว้วางพระทัยเจ้านครอินทร์ พระราชนัดดาในสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 ซึ่งทางพระเจ้ากรุงจีนให้ความสนิทสนม อีกทั้งยังยกย่องว่าเป็นกษัตริย์อีกพระองค์หนึ่ง
เจิ้งเหอเดินทางเข้ามากรุงศรีอยุธยา รวม 4 ครั้ง ครั้งแรก และครั้งที่สอง ในรัชสมัย พระรามราชาธิราช ครั้งที่สามและครั้งที่สี่ ในรัชสมัย สมเด็จพระอินทราชา (เจ้านครอินทร์)
ก่อนออกเดินทางทางทะเลทุกครั้งเจิ้งเหอ จะทำการบวงสรวง เทพยดาฟ้าดินและองค์เจ้าแม่มาจู่ หรือเจ้าแม่ทับทิม เมื่อเดินทางไปถึงเมืองใด เจิ้งเหอจะสร้างสถานที่เพื่อเคารพสักการะบูชาเจ้าแม่มาจู่ด้วย พร้อมกับให้ปฎิสังขรณ์วัดวาอารามของศาสนาต่าง ๆ ตามเมืองที่ไปยือนด้วย
จากจดหมายเหตุราชวงศ์หมิง ชื่อ หมิงสือจู่ หรือเจ้าแม่ทับทิม ได้บันทึกไว้ว่า ราชทูต เสียนเหลอ (สยาม) ได้เดินทางไปเจริญสัมพันธไมตรีกับราชสำนักจีนหลายครั้ง ชื่อราชทูตที่น่าสนใจ คือ ไน่อูน ไน่เจียจีหลิง ไน่เหวินอีหลอ ไน่ชานตั้วใหม่ ไน่ปี่หลิน ไน่ยิงเจ้อเผ่งชา เป็นต้น คำว่าไน่ หมายถึงนาย ซึ่งเป็นบรรดาศักดิ์ชั้นสูงในสมัยนั้น เช่นนายเสถียรรักษานา 600 นายศรีภักดินา 500 เป็นต้น ดังนั้นคำว่านาย จึงเป็นคำที่กำหนดใช้กับขุนนางชั้นสูง เช่นเดียวกับคำว่า ขุน หลวง พระ พระยา ฯลฯ นั่นเอง ในปัจจุบันยังคงเหลืออยู่ คือนายหลวง ซึ่งเพี้ยนเป็นในหลวง