ความหมายของประวัติศาสตร์
คำว่า “ ประวัติศาสตร์ ” เป็นศัพท์บัญญัติที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ 6 ได้ทรงริเริ่มใช้ในความหมายของคำศัพท์ภาษาอังกฤษว่า “ History ” อันมีรากศัพท์เดิมมาจากภาษากรีกว่า “ Histor ” มีความหมายเดิมแปลว่า “ ถัก ” หรือ “ ทอ ” ส่วนคำว่า “ Histor ” นี้ได้บัญญัติใช้เป็นครั้งแรกโดยนักปราชญ์ชาวกรีกผู้มีนามว่า เฮโรโดตุส ด้วยการใช้คำว่า “ Historiai ” เรียกเรื่องราวที่เขาสืบสวนค้นคว้ารวบรวมขึ้นมา ดังนั้นจึงทำให้เฮโรโดตุสได้รับการยกย่องให้เป็นบิดาแห่งประวัติศาสตร์
สำหรับการจำกัดความหมายของคำว่าประวัติศาสตร์ ได้มีผู้ให้ความหมายและคำจำกัดความอย่างมากมายทั้งนักปราชญ์ในซีกโลกตะวันตกและซีกโลกตะวันออก ซึ่งได้ยกมาเป็นตัวอย่างดังนี้ คือ
ลีโอ ตอลสตอย กล่าวว่า “ ประวัติศาสตร์ คือ เรื่องราวของชีวิตของประเทศชาติและมนุษย์ ซึ่งมองโดยตรงและสรุปรวมเป็นคำพูดได้ว่า การบรรยายชีวิตของผู้คนเพียงกลุ่มเดียวโดยมิได้รวมถึงมนุษย์ชาตินั้น ดูจะเป็นไปไม่ได้ ”
โรเบิร์ต วี. แดเนียลส์ กล่าวว่า “ ประวัติศาสตร์ คือ ความทรงจำว่าด้วยประสบการณ์ของมนุษย์ ซึ่งถ้าถูกลืมหรือละลาย ก็เท่ากับว่าเราได้ยุติแนวทางอันบงชี้ว่าเรา คือ มนุษย์ หากไม่มีประวัติศาสตร์เสียแล้ว เราจะไม่รู้ว่าเราคือใคร เป็นมาอย่างไร เหมือนคนเคราะห์ร้ายตกอยู่ในภาวะมึนงง เสาะหาเอกลักษณ์ของเราอยู่ท่ามกลางความมืด ”
สำหรับนักวิชาการในประเทศไทย ต่างได้ให้คำจำกัดความสำหรับความหมายของคำว่าประวัติศาสตร์ไว้เช่นเดียวกันกับนักปราชญ์ชาวตะวันตก ดังเช่น ดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์ และ ศ.อาคม พัฒิยะ กล่าวว่า “ ประวัติศาสตร์ คือ การศึกษาเพื่ออธิบายอดีตของสังคมมนุษย์ในมิติของเวลา หรือประวัติศาสตร์ คือ การศึกษาเพื่อเข้าใจอดีตของสังคมมนุษย์ในมิติของเวลา ”
จากการให้คำจำกัดความและการให้ความหมายของคำว่าประวัติศาสตร์ของนักวิชาการทั้งหลายข้างต้น ทำให้สามารถประมวลและสรุปความหมายของประวัติศาสตร์ได้ว่า “ประวัติศาสตร์ คือ การศึกษา การสืบเสาะ การค้นพบ ในส่วนของเรื่องราวในอดีตของมนุษย์ ในบริบทของสังคม เศรษฐกิจ การเมือง การปกครอง ศาสนา วัฒนธรรม ฯลฯ โดยเป็นเรื่องราวของคนในสังคมที่ส่งผลกระทบต่อคนจำนวนมาก ซึ่งเรื่องราวต่างๆนั้นเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งหรือมีมิติเวลา มีการศึกษาด้วยวิธีการอธิบาย เพื่อหาเหตุผลของเรื่องราวที่เกิดขึ้นนั้น โดยใช้หลักฐานที่เกิดขึ้นในช่วงสมัยหรือช่วงเวลานั้นๆประกอบในการศึกษา ”
องค์ประกอบของคำว่า “ ประวัติศาสตร์ ”
1. เป็นเรื่องราวในอดีตของสังคมมนุษย์
คือเป็นเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นในอดีตและส่งผลตกกระทบต่อคนจำนวนมากในสังคมนั้นจนก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้น ตัวอย่างเช่น อาณาจักรล้านนาในยุคสมัยของพญามังราย จนกระทั่งถึงช่วงสมัยของพญากือนา ต่างนับถือพุทธศาสนาที่สืบทอดมาจากเมืองหริภุญไชยซึ่งมีมาแต่ครั้งสมัยพระนางจามเทวี ต่อมาพญากือนามีความประสงค์จะให้พระภิกษุอรัญญาวาสีมาอยู่ที่เมืองเชียงใหม่ จึงได้ทรงอาราธนาพระสุมนเถรจากสุโขทัย ให้มาจำพรรษาอยู่ที่วัดพระยืนในเมืองหริภุญไชย พร้อมกันนั้นได้อาราธนาพระสงฆ์นิกายเดิม ซึ่งนับถือสืบเนื่องมาแต่สมัยพระนางจามเทวีให้บวชใหม่ถึง 8,400 รูป ต่อมาใน พ.ศ. 1914 พญากือนาทรงสร้างวัดบุปผารามหรือวัดสวนดอกในอุทยานป่าไม้พยอม ซึ่งเป็นเขตอุทยานของพระองค์ในเขตเวียงเชียงใหม่ให้เป็นที่จำพรรษาของพระสุมนเถร พร้อมกับได้สร้างเวียงสวนดอกให้เป็นเวียงพระธาตุเมื่อประมาณ พ.ศ. 1916
จากเหตุการณ์ดังกล่าวนี้เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของพุทธศาสนาในอาณาจักรล้านนา อันมีผลกระทบต่อผู้คนในสมัยต่อมาเป็นอย่างมาก นั่นคือจากการนับถือพุทธศาสนานิกายพื้นเมืองซึ่งสืบทอดมาแต่สมัยของพระนางจามเทวี มาเป็นพุทธศาสนาแบบเถรวาทนิกายลังกาวงศ์ ที่เคร่งครัดในวัตรปฎิบัติเนื่องจากเป็นพระสงฆ์ในฝ่ายอรัญญวาสี
2. เกี่ยวข้องกับมนุษย์จำนวนมาก
จากตัวอย่างเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับศาสนาพุทธของอาณาจักรล้านนาที่ได้ยกเป็นตัวอย่าง จะเห็นได้ว่าส่งผลกระทบต่อสังคม วัฒนธรรม การเมือง การปกครอง ศาสนา ฯลฯ ของอาณาล้านนาในสมัยของพญากือนาอย่างชัดเจน เป็นต้นว่า ผู้คนในเมืองเชียงใหม่หันมาให้ความสนใจ และบวชเรียนในนิกายเถรวาทลังกาวงศ์เป็นอย่างมาก เพราะถือว่าเป็นศาสนาที่บริสุทธิ์ ที่สำคัญได้รับการอุปถัมภ์จากกษัตริย์โดยตรง
3. มีมิติเวลา
ในทางประวัติศาสตร์มิติเวลาไม่ได้หมายถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต โดยการกำหนดในรูปของปีศักราชของการเกิดเหตุการณ์ หรือศักราชที่เริ่มต้นและต่อเนื่องไปจนถึงศักราชที่สิ้นสุดเหตุการณ์ แต่มิติเวลาในทางประวัติศาสตร์นั้นหมายถึงการศึกษาสังคมมนุษย์ที่ตั้งอยู่และพัฒนาไปท่ามกลาง “ เวลา ” หรือท่ามกลางปัจจัยแวดล้อมต่างๆของสังคมนั้น ไม่ว่าจะเป็นสังคม วัฒนธรรม การเมือง การปกครอง เศรษฐกิจ ศาสนา ความเชื่อ ฯลฯ
4. ประวัติศาสตร์คือการอธิบาย
การเล่าเหตุการณ์ต่างๆที่ผ่านมาของสังคมมนุษย์ไม่ใช่หัวใจของการศึกษาความรู้ในทางประวัติศาสตร์ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดในการศึกษาประวัติศาสตร์ คือ การพยายามทำความเข้าใจต่อเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในอดีตว่า เพราะเหตุใดถึงเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตนั้นมีบ่อเกิดมาจากสิ่งใด และได้มีพัฒนาการคลี่คลายไปอย่างไรในภายหลัง การตั้งคำถามว่าเหตุใด ทำไม อย่างไร จะคอยกระตุ้นให้ผู้ศึกษาพยายามเสาะหาสาเหตุหรือปัจจัยต่างๆ มาตอบคำถามข้างต้นอย่างเป็นเหตุเป็นผล
5. ประวัติศาสตร์ต้องใช้หลักฐานชั้นต้น
หลักฐานชั้นต้นหรือ Primary sources ได้แก่ หลักฐานที่บันทึกไว้โดยผู้ที่เกี่ยวข้องโดยตรงหรือรู้เห็นเหตุการด้วยตนเอง หลักฐานชั้นต้นมีความสำคัญต่อการศึกษาประวัติศาสตร์เป็นอย่างมาก ทั้งนี้เนื่องจากเป็นหลักฐานที่เกิดขึ้นร่วมสมัยกับเหตุการณ์นั้นๆซึ่งผ่านมาในอดีต เป็นหลักฐานที่ผู้เกี่ยวข้องหรือผู้รู้เห็นเหตุการณ์นั้นๆได้สร้างขึ้นไว้ ด้วยการบันทึกให้อยู่ในรูปของหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษร หรือไม่เป็นลายลักษณ์อักษร
ประเภทของหลักฐานทางประวัติศาสตร์
โดยปกติมักจะมีการแบ่งประเภทของหลักฐานทางประวัติศาสตร์ออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่
หลักฐานชั้นต้น(Primary sources) อันไ