กฎหมายเกิดมาพร้อมกับการที่มนุษย์อยู่ร่วมกันเป็นองค์กรทางสังคมกฎหมายจึงเป็นสิ่งที่มีอยู่เคียงคู่กับชุมชนมาตั้งแต่เมื่อครั้งดึกดำบรรพ์แล้ว เมื่อมนุษย์อยู่รวมกันเป็นหมู่เหล่าย่อมต้องจำกัดความประพฤติของตนเองให้อยู่ในลักษณะที่จะไม่ไปก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นในขณะเดียวกันก็จะต้องประพฤติปฏิบัติตนในสิ่งที่ชุมชนเห็นว่าดีงามด้วย การประพฤติปฏิบัติตนในสิ่งที่ไปก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นในชุมชน ย่อมทำให้ผู้นั้นได้รับผลร้าย ข้อประพฤติปฏิบัติเช่นนี้ได้มีการถ่ายทอดสืบต่อกันมาโดยการบอกเล่าของคนในชุมนุมชนนั้นๆ จากคนรุ่นหนึ่งไปสู่คนอีกรุ่นหนึ่งจนกลายเป็นสิ่งที่เรียกกันว่า “กฎหมายจารีตประเพณี” (customary law)[2] เมื่อมนุษย์มีภาษาเป็นสื่อในการทำความเข้าใจซึ่งกันและกันและประดิษฐ์ตัวอักษรขึ้นมา จึงได้มีการนำเอากฎหมายมาเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรเป็นการชัดแจ้งแน่นอนเรียกกันว่า “กฎหมายลายลักษณ์อักษร” (written law) กฎหมายลายลักษณ์อักษรที่มีความเก่าแก่ที่สุดได้แก่ ประมวลกฎหมายของกษัตริย์ฮัมมูราบี(code of Hammurabi) แห่งอาณาจักรบาบิโลน ซึ่งมีความเก่าแก่ประมานว่าอยู่ที่ปี 2250 ถึง 2000 ปีก่อนคริสตกาล เป็นบทบัญญัติกฎหมายที่สลักลงไปบนแผ่นศิลาไดโอไรต์ (diorite stone) ด้วยตัวอักษรลิ่ม (cuneiform) หลักกฎหมายที่สำคัญในประมวลกฎหมายของกษัตริย์ฮัมมูราบี ได้แก่ หลักการลงโทษระบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน (an eye for an eye, a tooth for a tooth) หรือที่เรียกกันว่า Lex Talionis เป็นบทลงโทษแก่ผู้กระทำความผิดในลักษณะเดียวกันกับการกระทำแก่ผู้อื่น กล่าวคือ ถ้าหากมีการกระทำแก่ผู้อื่นในลักษณะอย่างไร ผู้กระทำก็จะได้รับผลร้ายในลักษณะอย่างเดียวกัน ซึ่งการลงโทษในลักษณะเช่นนี้ได้รับการแก้ไขโดยกฎหมายของชาวยิว (Jewish Law) ที่กำหนดว่า บิดาย่อมไม่ต้องรับโทษถึงตายเพราะการกระทำของบุตร บุตรก็ไม่ต้องรับโทษถึงตายเพราะการกระทำของบิดา มนุษย์ทุกคนต้องรับโทษถึงตายเพราะการกระทำบาปของตนเอง[3] จึงเห็นได้ว่ากฎหมายชาวยิวเน้นความรับผิดทางอาญาว่าเป็นเรื่องเฉพาะตัว ไม่ใช่ความรับผิดอันเนื่องมาจากครอบครัวหรือความเป็นญาติ กล่าวกันว่า กฎหมายของพวกชาวยิวมีความเก่าแก่น้อยกว่าประมวลกฎหมายของกษัตริย์ฮัมมูราบี ประมาน 800 ปีเศษ กฎหมายลายลักษณ์อักษรที่มีความสำคัญต่อกฎหมายปัจจุบันและมีความเก่าแก่รองลงมาอีกได้แก่กฎหมายโรมัน (Roman Law) ซึ่งบัญญัติขึ้นมาเมื่อปี 451 ก่อนคริสตกาล ต่อมามีกฏหมายลายลักษณ์อักษรที่ถือว่าเป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกนั้นก็คือ แม็กนาคาต้า เกิดขึ้นในสมัยพระเจ้าจอห์นในระหว่าง ค.ศ. 1199-1216 (Magna Carta) หรือ (The Great Charter of Liberties) มีทั้งหมด 63 ข้อถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของกฏหมายรัฐธรรมนูญอังกฤษซึ่งเป็นกฏหมายที่ริดรอนอำนาจและขจัดการกระทำที่ไม่ชอบของพระเจ้าจอห์น นอกจากนี้ยังเป็นกฏหมายที่มีผลกระทบต่อระบบกฏหมายและศาลหลวงด้วย
ทำไมประวัติศาสตร์กฎหมายถึงสำคัญกับนักกฎหมาย
1. กล่าวกันว่ากฎหมายเป็นเรื่องของประสบการณ์ บางครั้งบทบัญญัติของกฎหมายก็ไม่ได้เป็นไปตามหลักตรรกวิทยา บางครั้งต้องอาศัยประวัติศาสตร์มาอธิบายถึงที่มาของบทบัญญัติกฎหมาย จึงจะเข้าใจถึงเหตุผลของกฎหมาย เช่น ในขณะที่ประเทศต่างๆ ศาลทั้งหลายเป็นองค์กรอิสระ แต่ศาลยุติธรรมของไทยกลับเคยสังกัดกระทรวงยุติธรรม[15] ซึ่งเป็นองค์กรของฝ่ายบริหาร ดังนั้น ถ้าหากเราต้องการจะทราบว่าเพราะเหตุใดศาลยุติธรรมของไทยเคยสังกัดกระทรวงยุติธรรม เราก็ต้องไปศึกษาในประกาศจัดตั้งกระทรวงยุติธรรม ร.ศ. 110 (พ.ศ.2434) หรือเพราะเหตุใดศาลหลวง (Royal Court) ของประเทศอังกฤษจึงมีชื่อเรียกต่างๆกัน ตัวอย่างต่างๆเหล่านี้คงต้องนำประวัติศาสตร์มาอธิบายจึงจะสามารถตอบคำถามต่างๆข้างต้นได้ ณ จุดนี้ประวัติศาสตร์หนึ่งหน้าย่อมมีค่ามากกว่าตรรกวิทยาหนึ่งเล่ม
2. ทำให้เราทราบถึงที่มาแห่งหลักเกณฑ์ต่างของกฎหมาย เช่น ทำให้เราทราบว่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ของไทยแบ่งทรัพย์ออกเป็น ทรัพย์มีรูปร่าง และทรัพย์ไม่มีรูปร่าง โดยแบ่งออกเป็นอสังหาริมทรัพย์ และสังหาริมทรัพย์ตามแบบอย่างกฎหมายโรมัน ในขณะที่กฎหมายไทยแต่เดิมเคยแบ่งทรัพย์ออกเป็น ทรัพย์มีวิญญาณ (วิญญาณกทรัพย์) และทรัพย์ไม่มีวิญญาณ (อวิญญาณกทรัพย์) เป็นต้น
3. ทำให้เราทราบเจตนารมณ์ และขอบเขตของกฎหมาย ผู้ที่ศึกษาประวัติศาสตร์กฎหมายย่อมทราบถึงเจตนารมณ์ของกฎหมาย และขอบเขตของกฎหมายเป็นอย่างดี การรู้เจตนารมณ์ และ ขอบเขตของกฎหมาย ทำให้สามารถใช้กฎหมายได้อย่างถูกต้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อการตีความกฎหมายตามตัวอักษรขัดกับเจตนารมณ์ของกฎหมาย เราต้องถือตามเจตนารม์ของกฎหมายเป็นสำคัญยิ่งกว่าความหมายของกฎหมายตามลายลักษณ์อักษร[16]
4. ทำให้เราทราบถึงที่มาของรูปแบบการปกครองของประเทศต่างๆ ตลอดจนความเชื่อมั่นและความมุ่งมั่นในการพัฒนาของแต่ละประเทศ
5. ทำให้เราทราบถึงวิธีการต่างๆที่มนุษย์คิดกันขึ้นเพื่อแก้ปัญหาสังคมในกาลเวลาและสถานที่แตกต่างกัน
6. ประวัติศาสตร์กฎหมายนับว่าเป็นส่วนหนึ่งของอารยธรรมโลก การศึกษาประวัติศาสตร์กฎหมายย่อมทำให้เราได้ศึกษาอารยธรรมโลกโดยปริยาย