เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ทุกสรรพสิ่งที่อยู่รายรอบตัวท่าน
ล้วนมีพระคำนำสอนที่พระบิดา
ทรงสื่อแฝงไว้ให้บุตรมนุษย์ทั้งหลาย
ได้เรียนรู้ ได้ใช้เป็นพระคัมภีร์ทั้งสิ้น
เพราะพระองค์ทรงห่วงใยพวกท่านทุกคน
ด้วยเกรงว่าจะหลงมิติ
จนขาดสติทางวิญญาณ
แล้วก็กลับบ้านไม่ได้เมื่อถึงวันสิ้นยุค
แต่คนที่จะเข้าถึงสัจธรรมของพระองค์
แล้วสามารถนำมาประพฤติในชีวิตได้นั้น
ต้องฉลาดสังเกต ฉลาดคิด
ฉลาดสังเคราะห์ด้วยอำนาจสมองสองซีก
ที่มีอยู่ในตนนั่นแหละ...
น่าเสียดายที่พวกท่านส่วนใหญ่
มีจิตตปัญญาที่ตกต่ำลง
สวนทางกับการมีภพชาติมากขึ้นเรื่อยๆ
จนพึ่งพาสมองสองซีกของตนกันไม่ได้
พระบิดาโดยบุตรเอกทั้งหลาย
เช่น องค์เยซู องค์นบีมูฮัมหมัด เป็นต้น
จนกระทั่งมาเป็นเราวันนี้
จึงต้องเข้ามาสร้างสติทางวิญญาณ
แก่ท่านทั้งหลาย
ให้สำนึกรู้ในหน้าที่
สำนึกรู้ในตนเอง
สำนึกรู้ในพระองค์
เสมอมา...
และชี้ทางหลุดพ้นในบทบาทฆราวาส
ผู้เน้นการบวชที่ใจ
โดยไม่อาศัยรูปแบบใดๆทั้งสิ้น
แต่ก็น่าเสียดาย
เรามานี่เป็นครั้งสุดท้ายเพื่อการปิดยุค
สู่การเปลี่ยนยุคในช่วงรอยต่อสำคัญ
สำหรับดาวโลกเสรีดวงนี้แล้ว
สุรเสียงพระบิดาที่ทรงสื่อผ่านเรามา
กลับเสมือนว่ายังมิมีผู้ใดได้ยิน
เงามายาแห่งเราที่เพียรสื่อแสดง
กลับเสมือนเป็นแค่เงาแห่งใบไม้
ในยามที่ลมพัดไหว...
ยิ่งใกล้วันสำคัญ....56 วัน 8 ราตรี
มนุษย์ไม่รู้ว่าจิตใจเรานั้นมันสั่นไหวแค่ไหน
เพราะแต่ละคนนั้น
ยังมิมีใครยอมเปลี่ยนแปลง
ทั้งๆที่โอกาสยังมีให้ เวลายังพอมีอยู่
เมื่อใดหนอที่ผู้คนจะลุกตื่นคืนสติ
ด้วยการปลุกเร้าตนเอง
จากเสียงเพรียกแห่งเรา....
โดยมิต้องรอให้โลกปลุกด้วยเสียงอึกทึก
จากแรงสั่นสะเทือนรุนแรงของพิบัติภัย
ชนิดที่ไม่มีผู้ใดเคยพบเจอกันมาเลย
ในชีวิตนี้....
จนตื่นตระหนก
อกสั่น ขวัญสยอง เสียสติ
หรือเสียชีวิตไปกับมัน
เพราะประมาทกันนั่นน่ะ
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
10-09-2015