บทที่ 2
เอกสารและโครงงานที่เกี่ยวข้อง
ในการจัดทำโครงงานการคอมพิวเตอร์ กลุ่มของข้าพเจ้าได้ทำเรื่องกริยา3ช่องเพื่อให้รุ่นน้องได้ศึกษาเช่น
Verb คือ คำที่แสดงถึงอาการต่าง ๆ หรือเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละช่วงของเวลา กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ คำพูดที่แสดงถึงการกระทำของตัวประธานในประโยค หรือคำที่ทำหน้าที่ช่วยคำกิริยาด้วยกันนั่นเอง กิริยาเป็นคำที่มีบทบาทที่สำคัญในแต่ละประโยค ถ้าในประโยคนั้น ๆ ขาดคำกิริยา ความหมายก็ไม่เกิดและไม่สามารถทราบถึงเหตุการณ์ต่าง ๆได้เลย หรือมีใจความที่ไม่สมบูรณ์
คำกิริยาตามหน้าที่แบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ
1. สกรรมกิริยา ( Transitive Verb ) คือ คำกิริยาที่ต้องมีตัวกรรม หรือคำอื่นเข้ามารองรับความหมายจึงจะสมบูรณ์ เช่น The boys kick football in the field. หมายความว่า
พวกเด็ก ๆ เตะฟุตบอลอยู่ที่สนามหญ้า คำว่า “ kick “ เป็นคำกิริยา บอกให้ทราบถึงเหตุการณ์ว่าในขณะนี้หรือปัจจุบันนี้เด็ก ๆ กำลังเล่นกันอยู่ ส่วนคำว่า “ football ” เป็นตัวกรรมหรือตัวที่ทำหน้าที่รองรับกิริยาให้มีความหมายสมบูรณ์ขึ้น เพราะถ้าใช้คำว่า “ kick “ คำเดียวความหมายไม่สมบูรณ์ ไม่รู้ว่าเตะอะไร นั่นเอง
2. อกรรมกิริยา ( Intransitive Verb ) คือ คำกิริยาที่ไม่ต้องมีตัวกรรมหรือคำอื่นมารองรับก็ได้ความหมายสมบูรณ์เช่น The dogs run in the field. ประโยคนี้ไม่ต้องมีตัวกรรมมารองรับ ก็ได้ใจความสมบูรณ์ดี ซึ่งคำว่า “ run “ แปลว่า “ วิ่ง “ คงไม่ต้องถามว่าใช้อะไรวิ่งนะครับ
3. กิริยาช่วย ( Helping Verb หรือ Auxiliary Verb ) คือ กิริยาที่มีหน้าที่ช่วยให้กิริยาด้วยกันมีความหมายดีขึ้น และยังมีหน้าที่ทำให้ตัวของมันเองมีความหมายที่สมบูรณ์ขึ้นได้ดีอีกด้วย เช่น She studies in Lamp – Tech college . Does she study in Lamp – Tech College ?
เอกสารที่เกี่ยวข้อง
ก่อนอื่นต้องขอทำความเข้าใจกับนักเรียนก่อน เรื่องการใช้คำกิริยาในการเรียนวิชาภาษาอังกฤษ ซึ่งในปัจจุบันนี้นักเรียนจะเห็นว่าภาษาอังกฤษมีความสำคัญอย่างยิ่งในการติดต่อสื่อสาร ระหว่างกัน ยิ่งในยุคที่เรียกว่า “ ยุคการสื่อสารไร้พรมแดน หรือ Globalization “ คงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า ภาษาอังกฤษมีความสำคัญมาก ซึ่งอาจารย์ผู้เขียนเอง ได้กล่าวอยู่บ่อยครั้งว่า “ คนยุคใหม่ถ้าไม่รู้เรื่องภาษาอังกฤษเลย ก็ดูเหมือนว่าจะล้าสมัยเสียเหลือเกิน “ เพราะฉะนั้นหากนักเรียนมีความต้องการที่เข้าใย ( ต้องขอใช้คำว่า “ เข้าใจ “ ) นะครับ เพราะถ้าใช้คำว่า “ เก่ง “ ก็คงต้องใช้เวลาศึกษาหลายปีทีเดียว ดูเหมือนว่ามันเป็นอะไรที่ห่างไกลเหลือเกิน .
นักเรียนต้องถามตัวเองก่อนว่า เราเองมีความชอบหรือมีทัศนคติอย่างไรกับการเรียนภาษาอังกฤษ ? ทำไม ต้องถามอย่างนั้น ก็เพราะว่า อย่างน้อยเราจะได้รู้ถึงขีดความสามารถของตัวเอง หรือขอบเขตความต้องการของเราก่อน
แต่รู้หรือไม่ครับ มันเป็นเรื่องแปลกแต่จริง ที่สถานศึกษาทุกแห่งทั่วประเทศเขาบังคับให้นักเรียนได้เรียนกัน
หากเราทำความเข้าใจและมีใจชอบหรือมีทัศนคติที่ดีต่อการเรียนภาษาอังกฤษแล้ว ภาษาอังกฤษก็เป็นเรื่องที่ง่ายมาก เพราะไม่มีอะไรที่ยากเกินความสามารถของผู้ต้องการใช้มันเพื่อวัตถุประสงค์บางอย่าง
การเรียนภาษาอังกฤษ หากจะเปรียบกับการฝึกจักรยานมันก็เป็นสิ่งที่ยากตอนเริ่มฝึกใหม่ ๆ เท่านั้นเอง อาจจะมีล้มลุกคลุกคลานบ้าง ก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่ หากฝึกได้ บังคับทิศทางได้มันก็ไม่ยากอะไรเลย
ในการศึกษาภาษาอังกฤษนั้น ในปัจจุบันยิ่งสะดวกสบาย เนื่องจากว่ามีคู่มือมากมายหลายสำนักได้เขียนออกมา ซึ่งเราสามารถนำมาประกอบการเรียนได้อย่างดีเลยที่เดียว
อยากเก่งและเข้าใจภาษาอังกฤษเหมือนคนอื่นเขาหรือเปล่า ?
ทีนี้อาจารย์ผู้เขียนจะได้แนะเคล็ดที่ไม่ลับให้กับเหล่านักเรียน เมื่อเรียนกับอาจารย์แล้วรับรองว่าจะเข้าใจภาษาอังกฤษและรักมันมากยิ่งขึ้นอีกเยอะเลยทีเดียว ลองติดตามกันดู
หลักการง่าย ๆ ที่เราจะเข้าใจภาษาอังกฤษก็มีเพียงแค่ไม่กี่อย่าง ไม่อยากบอกว่ามี 3 อย่างคือ ประธาน + กิริยา + กรรม ( subject + verb + object ) เช่น
The students go to school by the bus.
มีหลายคนที่ไม่เข้าใจเลย เนื่องจากไม่มีหลักในการจับ เมื่อเห็นข้อความเป็นภาษาอังกฤษก็งง เป็นไก่ตาแตกเลย.จากตัวอย่างข้างต้นที่ได้ยกมานั้น เราจะรู้ว่าประโยคนี้เขากล่าวถึงอะไรและหมายถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงไหน เป็นอดีต ปัจจุบัน หรือว่าอนาคต ซึ่งในที่นี้เราจะใช้หลักการสังเกตจากคำกิริยานั่นเอง จากประโยคที่ว่า The students go to school by bus. กิริยาในประโยคคือ go เป็นตัวบ่งบอกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ทั้งนี้เพราะว่า กิริยาเป็นรูปปัจจุบัน