การกินขนมปัง (Bread) ควบคู่กับอาหารประเภทอื่นๆ นั้น มีมาตั้งแต่สมัยที่ การแปล - การกินขนมปัง (Bread) ควบคู่กับอาหารประเภทอื่นๆ นั้น มีมาตั้งแต่สมัยที่ อังกฤษ วิธีการพูด

การกินขนมปัง (Bread) ควบคู่กับอาหาร

การกินขนมปัง (Bread) ควบคู่กับอาหารประเภทอื่นๆ นั้น มีมาตั้งแต่สมัยที่มีการผลิตขนมปังในช่วงยุคหินใหม่ (Neolithic; 10,000 ปีก่อน ค.ศ.) แล้ว ตัวอย่างเช่นนักบวชชาวยิวนามว่า ฮิลเลล (Hillel) ได้ใช้ขนมปังแมทซา (Matzah; เป็นขนมปังกรอบ (Cracker) ชนิดหนึ่ง มีลักษณะคล้ายขนมปังทำจากแป้งผสมกับน้ำ) ห่อเนื้อลูกแกะและผักรสขมเพื่อใช้กินในช่วงเทศกาลในฤดูใบไม้ผลิ (Passover)

ในช่วงยุคกลาง (Middle Aga) มีการนำเอา เทรนเชอร์ (Trenchers; เขียง) ที่ทำจากแป้งหนาและหยาบมาใช้เป็นจานใส่อาหาร หลังจากกินเสร็จแล้วก็จะนำเอาเทรนเชอร์ไปให้สุนัขหรือขอทาน หรือบางครั้งเจ้าของก็อาจจะกินเสียเอง (or eaten by the diner) – เทรนเชอร์ถือเป็นต้นแบบของแซนดิช (Sandwich)

ต้นกำเนิดวัฒนธรรมที่เชื่อมโยงมาสู่แซนวิชของชาวอังกฤษนั้น พบว่ามาจากในช่วงศตวรรษที่ 17 ในประเทศฮอลแลนด์ ซึ่งนักธรรมชาติวิทยา (Naturalist) ที่ชื่อ จอห์น เรย์ (John Ray) ได้ลองทำตาม (Observe) โรงขายเหล้า (Tavern) ที่แขวนเนื้อวัวไว้กับคาน (Rafter) แล้วแล่เนื้อเป็นชิ้นบางๆ นำไปกินคู่กับขนมปังและเนย โดยวางเนื้อที่แล่ออกมาลงบนเนย

คำว่า แซนวิช ในภาษาอังกฤษปรากฏครั้งแรกในวารสาร (Journal) ของ เอ็ดเวิร์ด กิบบอน (Edward Gibbon) ซึ่งใช้อ้างถึง ชิ้นเนื้อเย็นๆ ชิ้นเล็กๆ (bits of cold meat) – ชื่อดังกล่าวตั้งตามชื่อของ จอห์น มอนทากู (John Montagu) หรือ เอิร์ลแห่งแซนวิชที่ 4 (4th Earl of Sandwich) ซึ่งเป็นขุนนางชาวอังกฤษในศตวรรษที่ 18 – กล่าวกันว่า ลอร์ดแซนวิช ได้คิดค้นรูปแบบของอาหารชนิดนี้ขึ้นมา เพื่อให้สะดวกในการ "เล่นไพ่" โดยไม่ทำให้สำรับไพ่ของเขาเลอะเทอะจากการกินเนื้อด้วยมือเปล่า

ข่าวลือดังกล่าวได้รับการเผยแพร่ในหนังสือชื่อ Pierre-Jean Grosley’s Londres (Neichatel, 1770) และถูกแปลมาเป็น A Tour to London 1772 – ซึ่งกรอสเลย์ (Grosley) ได้มารู้จักกับอาหารชนิดนี้และเกิดความความประทับใจ ในช่วงที่เขามาอยู่ลอนดอนในปี 1765 – นอกจากนี้ เอ็น.เอ.เอ็ม ร๊อดเจอร์ (N.A.M. Rodger) ได้นำเข้ามาใช้ในกิจการราชนาวี แล้วจึงแพร่หลายเข้ามาสู่โต๊ะอาหารของคนทั่วไปในที่สุด

ความนิยมในการกินแซนวิชในประเทศสเปนและอังกฤษเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในระหว่างศตวรรษที่ 19 เมื่อสังคมเปลี่ยนมาสู่สังคมอุตสาหกรรม เนื่องจากเป็นอาหารที่ทำได้เร็ว, สะดวกและราคาไม่แพง และในเวลาเดียวกัน แซนวิชก็เริ่มเป็นที่รู้จักในหลายประเทศนอกทวีปยุโรป จนกระทั่งในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ขนมปังกลายมาเป็นอาหารหลักของชาวอเมริกัน แซนวิชก็กลายมาเป็นอาหารชนิดหนึ่งที่ได้รับความนิยม นอกจากนี้ความนิยมของแซนวิชยังได้แพร่ขยายไปจนถึงแถบเมดิเตอร์เรเนียน (Mediterranean) อีกด้วย
0/5000
จาก: -
เป็น: -
ผลลัพธ์ (อังกฤษ) 1: [สำเนา]
คัดลอก!
การกินขนมปัง (Bread) ควบคู่กับอาหารประเภทอื่นๆ นั้น มีมาตั้งแต่สมัยที่มีการผลิตขนมปังในช่วงยุคหินใหม่ (Neolithic; 10,000 ปีก่อน ค.ศ.) แล้ว ตัวอย่างเช่นนักบวชชาวยิวนามว่า ฮิลเลล (Hillel) ได้ใช้ขนมปังแมทซา (Matzah; เป็นขนมปังกรอบ (Cracker) ชนิดหนึ่ง มีลักษณะคล้ายขนมปังทำจากแป้งผสมกับน้ำ) ห่อเนื้อลูกแกะและผักรสขมเพื่อใช้กินในช่วงเทศกาลในฤดูใบไม้ผลิ (Passover)

ในช่วงยุคกลาง (Middle Aga) มีการนำเอา เทรนเชอร์ (Trenchers; เขียง) ที่ทำจากแป้งหนาและหยาบมาใช้เป็นจานใส่อาหาร หลังจากกินเสร็จแล้วก็จะนำเอาเทรนเชอร์ไปให้สุนัขหรือขอทาน หรือบางครั้งเจ้าของก็อาจจะกินเสียเอง (or eaten by the diner) – เทรนเชอร์ถือเป็นต้นแบบของแซนดิช (Sandwich)

ต้นกำเนิดวัฒนธรรมที่เชื่อมโยงมาสู่แซนวิชของชาวอังกฤษนั้น พบว่ามาจากในช่วงศตวรรษที่ 17 ในประเทศฮอลแลนด์ ซึ่งนักธรรมชาติวิทยา (Naturalist) ที่ชื่อ จอห์น เรย์ (John Ray) ได้ลองทำตาม (Observe) โรงขายเหล้า (Tavern) ที่แขวนเนื้อวัวไว้กับคาน (Rafter) แล้วแล่เนื้อเป็นชิ้นบางๆ นำไปกินคู่กับขนมปังและเนย โดยวางเนื้อที่แล่ออกมาลงบนเนย

คำว่า แซนวิช ในภาษาอังกฤษปรากฏครั้งแรกในวารสาร (Journal) ของ เอ็ดเวิร์ด กิบบอน (Edward Gibbon) ซึ่งใช้อ้างถึง ชิ้นเนื้อเย็นๆ ชิ้นเล็กๆ (bits of cold meat) – ชื่อดังกล่าวตั้งตามชื่อของ จอห์น มอนทากู (John Montagu) หรือ เอิร์ลแห่งแซนวิชที่ 4 (4th Earl of Sandwich) ซึ่งเป็นขุนนางชาวอังกฤษในศตวรรษที่ 18 – กล่าวกันว่า ลอร์ดแซนวิช ได้คิดค้นรูปแบบของอาหารชนิดนี้ขึ้นมา เพื่อให้สะดวกในการ "เล่นไพ่" โดยไม่ทำให้สำรับไพ่ของเขาเลอะเทอะจากการกินเนื้อด้วยมือเปล่า

ข่าวลือดังกล่าวได้รับการเผยแพร่ในหนังสือชื่อ Pierre-Jean Grosley’s Londres (Neichatel, 1770) และถูกแปลมาเป็น A Tour to London 1772 – ซึ่งกรอสเลย์ (Grosley) ได้มารู้จักกับอาหารชนิดนี้และเกิดความความประทับใจ ในช่วงที่เขามาอยู่ลอนดอนในปี 1765 – นอกจากนี้ เอ็น.เอ.เอ็ม ร๊อดเจอร์ (N.A.M. Rodger) ได้นำเข้ามาใช้ในกิจการราชนาวี แล้วจึงแพร่หลายเข้ามาสู่โต๊ะอาหารของคนทั่วไปในที่สุด

ความนิยมในการกินแซนวิชในประเทศสเปนและอังกฤษเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในระหว่างศตวรรษที่ 19 เมื่อสังคมเปลี่ยนมาสู่สังคมอุตสาหกรรม เนื่องจากเป็นอาหารที่ทำได้เร็ว, สะดวกและราคาไม่แพง และในเวลาเดียวกัน แซนวิชก็เริ่มเป็นที่รู้จักในหลายประเทศนอกทวีปยุโรป จนกระทั่งในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ขนมปังกลายมาเป็นอาหารหลักของชาวอเมริกัน แซนวิชก็กลายมาเป็นอาหารชนิดหนึ่งที่ได้รับความนิยม นอกจากนี้ความนิยมของแซนวิชยังได้แพร่ขยายไปจนถึงแถบเมดิเตอร์เรเนียน (Mediterranean) อีกด้วย
การแปล กรุณารอสักครู่..
ผลลัพธ์ (อังกฤษ) 2:[สำเนา]
คัดลอก!
การกินขนมปัง (Bread) ควบคู่กับอาหารประเภทอื่นๆ นั้น มีมาตั้งแต่สมัยที่มีการผลิตขนมปังในช่วงยุคหินใหม่ (Neolithic; 10,000 ปีก่อน ค.ศ.) แล้ว ตัวอย่างเช่นนักบวชชาวยิวนามว่า ฮิลเลล (Hillel) ได้ใช้ขนมปังแมทซา (Matzah; เป็นขนมปังกรอบ (Cracker) ชนิดหนึ่ง มีลักษณะคล้ายขนมปังทำจากแป้งผสมกับน้ำ) ห่อเนื้อลูกแกะและผักรสขมเพื่อใช้กินในช่วงเทศกาลในฤดูใบไม้ผลิ (Passover)

ในช่วงยุคกลาง (Middle Aga) มีการนำเอา เทรนเชอร์ (Trenchers; เขียง) ที่ทำจากแป้งหนาและหยาบมาใช้เป็นจานใส่อาหาร หลังจากกินเสร็จแล้วก็จะนำเอาเทรนเชอร์ไปให้สุนัขหรือขอทาน หรือบางครั้งเจ้าของก็อาจจะกินเสียเอง (or eaten by the diner) – เทรนเชอร์ถือเป็นต้นแบบของแซนดิช (Sandwich)

ต้นกำเนิดวัฒนธรรมที่เชื่อมโยงมาสู่แซนวิชของชาวอังกฤษนั้น พบว่ามาจากในช่วงศตวรรษที่ 17 ในประเทศฮอลแลนด์ ซึ่งนักธรรมชาติวิทยา (Naturalist) ที่ชื่อ จอห์น เรย์ (John Ray) ได้ลองทำตาม (Observe) โรงขายเหล้า (Tavern) ที่แขวนเนื้อวัวไว้กับคาน (Rafter) แล้วแล่เนื้อเป็นชิ้นบางๆ นำไปกินคู่กับขนมปังและเนย โดยวางเนื้อที่แล่ออกมาลงบนเนย

คำว่า แซนวิช ในภาษาอังกฤษปรากฏครั้งแรกในวารสาร (Journal) ของ เอ็ดเวิร์ด กิบบอน (Edward Gibbon) ซึ่งใช้อ้างถึง ชิ้นเนื้อเย็นๆ ชิ้นเล็กๆ (bits of cold meat) – ชื่อดังกล่าวตั้งตามชื่อของ จอห์น มอนทากู (John Montagu) หรือ เอิร์ลแห่งแซนวิชที่ 4 (4th Earl of Sandwich) ซึ่งเป็นขุนนางชาวอังกฤษในศตวรรษที่ 18 – กล่าวกันว่า ลอร์ดแซนวิช ได้คิดค้นรูปแบบของอาหารชนิดนี้ขึ้นมา เพื่อให้สะดวกในการ "เล่นไพ่" โดยไม่ทำให้สำรับไพ่ของเขาเลอะเทอะจากการกินเนื้อด้วยมือเปล่า

ข่าวลือดังกล่าวได้รับการเผยแพร่ในหนังสือชื่อ Pierre-Jean Grosley’s Londres (Neichatel, 1770) และถูกแปลมาเป็น A Tour to London 1772 – ซึ่งกรอสเลย์ (Grosley) ได้มารู้จักกับอาหารชนิดนี้และเกิดความความประทับใจ ในช่วงที่เขามาอยู่ลอนดอนในปี 1765 – นอกจากนี้ เอ็น.เอ.เอ็ม ร๊อดเจอร์ (N.A.M. Rodger) ได้นำเข้ามาใช้ในกิจการราชนาวี แล้วจึงแพร่หลายเข้ามาสู่โต๊ะอาหารของคนทั่วไปในที่สุด

ความนิยมในการกินแซนวิชในประเทศสเปนและอังกฤษเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในระหว่างศตวรรษที่ 19 เมื่อสังคมเปลี่ยนมาสู่สังคมอุตสาหกรรม เนื่องจากเป็นอาหารที่ทำได้เร็ว, สะดวกและราคาไม่แพง และในเวลาเดียวกัน แซนวิชก็เริ่มเป็นที่รู้จักในหลายประเทศนอกทวีปยุโรป จนกระทั่งในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ขนมปังกลายมาเป็นอาหารหลักของชาวอเมริกัน แซนวิชก็กลายมาเป็นอาหารชนิดหนึ่งที่ได้รับความนิยม นอกจากนี้ความนิยมของแซนวิชยังได้แพร่ขยายไปจนถึงแถบเมดิเตอร์เรเนียน (Mediterranean) อีกด้วย
การแปล กรุณารอสักครู่..
ผลลัพธ์ (อังกฤษ) 3:[สำเนา]
คัดลอก!
Eating bread (Bread) along with other foods that have since the production of bread during the Neolithic Age (Neolithic; 10 000, last year. AD), for example a Jewish priest named Hillel (Hillel) use matzah bread (Matzah;A biscuit (Cracker) a kind of look like bread is made from flour mixed with water). Wrap lamb and vegetables to eat the bitter festival in the spring. (Passover)

in the Middle Ages (Middle Aga) is the Trenchers trenchers. (;The butcher) made from flour, thick and rough to use a plate of food. After eating, it will bring the trenchers to dog or a beggar. Or sometimes the owner may eat themselves (or eaten by the diner) - trenchers is the model of sandwich (Sandwich)

.The origins of the British culture that are linked to the sandwich. Found that from in the last century 17 in Holland. Which Naturalist (Naturalist), John Ray (John Ray) try to follow. (Observe) plant sales Liquor (Tavern).(Rafter), then cut into thin pieces. Be eaten with bread and butter. By placing the space carving out onto the butter
.
.The word sandwich in English first appeared in the Journal (Journal) of Edward Gibbon (Edward Gibbon), which is used to refer to a piece of meat cold. Small pieces (bits of cold meat) - named after the famous said of John Montagu (John Montagu).4 (4th Earl of Sandwich) is a British official in the 18 - say, Lord sandwich, invented a form of this type of diet. In order to make it easy for the "play" without making the deck of his sloppy from eating meat with no
.
such a rumor has been published in the book the name Pierre-Jean Grosley ', s Londres (Neichatel1770) and was translated into A Tour to London 1772 - which now lay (Grosley) have come to know this type of diet and the impression. During his stay in London in 1765 n. a. m. - in addition, rod (N.A.M furniture.Rodger) used in the Royal Navy. Import business Then spread into to table of people eventually

.The popularity of eating sandwiches in Spain and England increased rapidly during the 19 when social change to industrial society. Because it is faster, the foodConvenient and affordable, and at the same time. The sandwich became known in many countries outside Europe. Until early in the century 20 bread became a staple food of Americans.The popularity of the sandwich has also spread to the Mediterranean Sea (Mediterranean).
การแปล กรุณารอสักครู่..
 
ภาษาอื่น ๆ
การสนับสนุนเครื่องมือแปลภาษา: กรีก, กันนาดา, กาลิเชียน, คลิงออน, คอร์สิกา, คาซัค, คาตาลัน, คินยารวันดา, คีร์กิซ, คุชราต, จอร์เจีย, จีน, จีนดั้งเดิม, ชวา, ชิเชวา, ซามัว, ซีบัวโน, ซุนดา, ซูลู, ญี่ปุ่น, ดัตช์, ตรวจหาภาษา, ตุรกี, ทมิฬ, ทาจิก, ทาทาร์, นอร์เวย์, บอสเนีย, บัลแกเรีย, บาสก์, ปัญจาป, ฝรั่งเศส, พาชตู, ฟริเชียน, ฟินแลนด์, ฟิลิปปินส์, ภาษาอินโดนีเซี, มองโกเลีย, มัลทีส, มาซีโดเนีย, มาราฐี, มาลากาซี, มาลายาลัม, มาเลย์, ม้ง, ยิดดิช, ยูเครน, รัสเซีย, ละติน, ลักเซมเบิร์ก, ลัตเวีย, ลาว, ลิทัวเนีย, สวาฮิลี, สวีเดน, สิงหล, สินธี, สเปน, สโลวัก, สโลวีเนีย, อังกฤษ, อัมฮาริก, อาร์เซอร์ไบจัน, อาร์เมเนีย, อาหรับ, อิกโบ, อิตาลี, อุยกูร์, อุสเบกิสถาน, อูรดู, ฮังการี, ฮัวซา, ฮาวาย, ฮินดี, ฮีบรู, เกลิกสกอต, เกาหลี, เขมร, เคิร์ด, เช็ก, เซอร์เบียน, เซโซโท, เดนมาร์ก, เตลูกู, เติร์กเมน, เนปาล, เบงกอล, เบลารุส, เปอร์เซีย, เมารี, เมียนมา (พม่า), เยอรมัน, เวลส์, เวียดนาม, เอสเปอแรนโต, เอสโทเนีย, เฮติครีโอล, แอฟริกา, แอลเบเนีย, โคซา, โครเอเชีย, โชนา, โซมาลี, โปรตุเกส, โปแลนด์, โยรูบา, โรมาเนีย, โอเดีย (โอริยา), ไทย, ไอซ์แลนด์, ไอร์แลนด์, การแปลภาษา.

Copyright ©2024 I Love Translation. All reserved.

E-mail: