ในภาพยนตร์ Lost in Translation หนัง

ในภาพยนตร์ Lost in Translation หนังที่เล่าอารมณ์เหงาๆทั้งของตัวละคร และบรรยากาศแบบโตเกียวที่ชวนให้สับสน อื้ออึง เสริมส่งกับเรื่องราวคนเหงาในตึกสูง บ่งบอกถึงอารมณ์เหงาได้ถึงอารมณ์ ในความหมายของ Lost in Translation จึงเป็นจังหวะห้วงหนึ่งที่ขาดช่วง แวบหายไป ของคน 2 คน การพบกันของคนทั้งคู่ในเวลาไม่กี่วันทั้งชดเชยและเติมเต็มให้กันและกัน เรื่องราวของภาพยนตร์ Lost in Translation ประมาณว่าสมมติคุณเบื่อหน่ายกับชีวิตเดิม ๆ ท้องถิ่นเดิม ๆ คุณจึงเริ่มที่จะหางานชิ้นใหม่เพื่อไปสถานที่ใหม่ โดยในเรื่องนี้ ใช้สถานที่คือญี่ปุ่น เป็นสถานที่ดำเนินเรื่องและสถานที่จบเรื่องราว เรียกได้ว่า ถ่ายทำเพียงประเทศเดียว บริเวณรอบ ๆ ไม่ได้ใช้ฉากอะไรมากมาย ให้ตัวเรื่องดำเนินไปอย่างเรียบง่ายที่สุด ธรรมดาที่สุด สื่อให้เห็นถึงอารมณ์ความนึกคิดของตัวละคร ลักษณะของตัวละครมากที่สุด
เมื่อมาอยู่ที่ใหม่ เหตุการณ์ที่นอนไม่หลับมันเกิดขึ้นได้เสมอ รวมกับความตึงเครียดที่มีมาก่อนหน้านี้ เมื่อต้องอยู่คนเดียว ในเมืองที่ต่าง และ บรรยากาศที่เปลี่ยน พร้อมความตึงเครียดที่เก็บสะสมมาเป็นเวลานาน เรื่องราวของเรื่องนี้ เกิดขึ้นจากตรงนี้ แต่เรื่องราวดำเนินต่อไปตรงจุดที่เมื่อสถานที่ ซึ่งคุณอยู่เพียงคนเดียวนั้น คุณกลับเจอคนที่คุณค้นหา เรียกได้ว่าค้นหามานาน ประมาณว่า มีความรู้สึกเฉกเช่นเดียวกับคุณ เข้าใจคุณ สามารถไปด้วยกันได้ ทำให้ภาวะตึงเครียดในจิตใจหายไป เรื่องราวดำเนินมา ตัวละครชายหญิงเจอกัน ความสนุกก็เริ่มขึ้น แต่เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องรักหวานแหวว ที่ตามหารักแท้ หรืออย่างไร หากแต่ เรื่องนี้เป็นเรื่องของหนึ่งในสมาชิกภายในครอบครัวที่มีปัญหาตึงเครียดแต่เก็บงำไว้กับตัว กล่าวก็คือ ตัวละครสองตัวละครนี้มีครอบครัวแล้ว เรื่องราวเลยไม่ได้จบลงที่ สุขสม happy ending แต่เรื่องราวเรื่องนี้จบลงที่ บทสรุป ความทรงจำดี ๆ ที่มีให้กันความทรงจำที่ครั้งหนึ่งเราสนุกด้วยกัน ความทรงจำที่เราเคยรู้จักกัน ณ สถานที่ซึ่งไม่เคยรู้จักใคร สุดท้ายคือ ความทรงจำ และ การจากลาอย่างมีความสุข
ในภาพยนตร์ Lost in Translation เรื่องนี้ไม่ได้เรียกน้ำตาถึงขั้นคนรักจากลาไปจากโลกนี้หรืออย่างไร แต่เหมือนเป็นเรื่องราวของผู้ใหญ่ ที่มีเหตุผลในการจากลา มีความสุขในการลาจาก ความทรงจำเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุด ในช่วงเวลาที่ทุกข์ที่สุดของการลาจาก แต่สุขที่สุดที่ช่วงเวลาที่สะสมเรื่องราวใส่กล่องความทรงจำ บางครั้ง อาจไม่จำเป็นต้องจบด้วยการครองคู่ แต่จบด้วยการใช้ชีวิตอยู่แบบเดิมก่อนหน้านี้ หากแต่ การใช้ชีวิตต่อจากนี้อาจไม่เหมือนเดิม เพราะ ความทรงจำบางช่วงที่ได้จากครั้งนั้น อาจเป็นตัวประสานความสัมพันธ์ที่เคยตึงเครียดแต่เดิม ให้กลับมาดีขึ้นมาใหม่ โดยการใช้ความทรงจำนั้น เป็นบทเรียนในการเรียนรู้ ว่าชีวิตหลังจากนี้ จะทำอย่างไร จึงจะเป็นสุขได้ ประสบการณ์เพียงช่วงเวลาหนึ่งจากความทรงจำ อาจทำให้เข้าใจสถานการณ์เดิมว่า เพราะอะไร ทำไมถึงต้องเป็นแบบนั้น
หนังเรื่อง Lost in Translation เรื่องนี้ ไม่ได้จบด้วยฉากที่เศร้าแบบสุด ๆ เหมือนฉากจบโดยให้เกิด โศกนาฎกรรม เหมือนหนังหลายเรื่อง หรือให้จบแบบรักลงตัว พลิกล๊อคจับคู่ แต่หนังเรื่องนี้ เหมือนให้แง่คิดเชิงบวก แก่คนสองคน ที่ไม่ได้พยายามให้เกิดอะไร หรืออาจจะไม่เคยพยายามให้เกิดอะไรเลย แต่เป็นไปธรรมดาสามัญของคน ที่มีความคิดธรรมดาสามัญในเรื่องราวที่ธรรมดาสามัญ เรื่องนี้พยายามถ่ายทอดออกมาในแง่นี้มากกว่า
lost in translation เล่าเรื่องของตัวละครสองคนที่ต้องเดินผ่านความขัดแย้ง และ วัฒนธรรม สภาพแวดล้อม และภาษาที่ไม่คุ้นเคย สิ่งเหล่านี้ทำให้พวกเขากลายเป็นบุคคลแปลกแยก โดดเดี่ยว เคว้งคว้าง ท่ามกลางผู้คนมากมาย ในความสนุกสานของผู้คนในกรุงโตเกียวพวกเขากับรู้สึกเบื่อหน่ายกับความเป็นอยู่ในแต่ละวัน
Bob ดาราหนุ่มวัยกลางคน ที่ต้องมาทำงานเป็นพรีเซนเตอร์เหล้าวิสกี้ กับ Charlotte หญิงสาววัยรุ่นที่แต่งงานกับสามีอยู่ที่มาได้ซักพักแล้ว แต่ราวกับเหมือนว่า สามีเธอจะไม่ค่อยมีเวลาให้ ทำให้เธอรู้สึกโดดเดี่ยวเหมือนโดนทอดทิ้ง
ชายและหญิง สองความเหงาที่ต่างมุมมอง มาเจอกัน อีกคน โดดเดี่ยวในเรื่องความไม่คุ้นเคยในสถานที่ อีกคนโดดเดี่ยวในเรื่องความรู้สึกโดนคนรักทอดทิ้ง แต่ไปมาก็ทำให้เกิดมิตรภาพ ความรักดีๆ ระหว่างๆกัน
ผมมองว่าหนังเรื่องนี้มันมีความตลก ของตัวละคร เกี่ยวกับความไม่คุ้นชิน ในเรื่องภาษา การแสดงออกต่อผู้คนที่นี่ ของตัวละคร Bob ในฉากที่เขาไปออกกำลังกายเครื่องวิ่ง อาจด้วยเป็นคำสั่งเป็นภาษาญี่ปุ่น ทำให้รู้สึกสับสนจึงทำให้เป็นอย่างที่เห็น หรือแม้กระทั่งฉากที่เขาพา ชาร์ล๊อต ไปโรงพยาบาล แล้วเจอยายแก่ญี่ปุ่นมารอคิวรักษาอยู่ บทสนทนาที่ดูแล้วมันไม่ปะติดปะต่อ ดูตลกๆ อารมณ์ความโรแมนติกน่ารักมีให้เห็นอยู่ในหลายๆฉากในหนังเรื่องนี้ แต่จะแสดงออกมาคล้ายๆ ความโรแมนติกแบบเหงาๆ แต่โดยรวมดูแล้วผมไม่รู้สึกว่าเหงา แต่รู้สึกอบอุ่นไปกับมันความแตกต่างเกี่ยวกับวัฒนธรรมตะวันออก กับ ตะวันตก ในมุมมองที่ต่างกัน ซึ่ง Lost in translation นั้นถ่ายทอดการเล่าเรื่องแบบไม่ซับซ้อนแต่จริงใจ มันทำให้คนดูซึมซับไปกับตัวละครแบบไม่รู้ตัว นอกจากหนังมีมุมให้คิดต่อแล้ว ที่ที่ทำให้ใจเรารู้สึก อื้ออึง กับสิ่งรอบข้าง ทั้งยาก และอยากจะเข้าใจ แต่ก็ยังไม่เข้าใจ รวมทั้งยังมีคำถาม แล้วในฉากสุดท้ายว่า Bob พูดอะไร คำถามตามมาตั้งแต่เมื่อครั้งดูหนังเรื่องนี้ในโรงภาพยนตร์ แต่ก็รู้ว่า แล้วแต่คนดูอย่างเราตีความตามความคิดของแต่ละคน

ผลลัพธ์ (อังกฤษ) 1:

In the movie Lost in Translation movie that tells the emotion of the characters and ngao model Tokyo to confuse ueueng with the story who am lonely supplementary submission on tall building. Indicate am lonely mood to mood in the meaning of Lost in Translation, it is the rhythm of a broken mind missing two of his cell to meet both at the time of the last few days to both compensate and complement, each other. The story of the film Lost in Translation, about whether we assume you tired of life in the local junk, you start to look for a new job to go to a new place. To use attractions is that Japan is proceeding with the matter and the end of the story. Though filming just a single country. The surrounding area is not used to a lot of the story scenes continue to ease as possible. The most common Mood media, a character's thoughts The appearance of the character the most. When it comes to new address The event does occur, it is always combined with the tension that is there. To the city alone in the change, with a tension that storage for a long time, this story's story. Arising from this, but the story continues straight points when the place where you are the only user. You meet people that you find Though the search for a long time about whether it has the same feeling like you understand, you can go to. Cause tension in mental deficiencies have disappeared. Stories continue to come Female characters! The fun started, but this is not a love story, sweet, true love, or by waeo? But this is the story of one family member that there is a problem with tension, but keep a Bedouin said: there are two characters in this family drama, the story is not a happy ending happy ending that is reasonable, but the story's end the conclusion with great memories, memories that once together, we have fun together. Memories we've known at the place where he has never known anyone else. Finally, the memory, and from La happily ในภาพยนตร์ Lost in Translation เรื่องนี้ไม่ได้เรียกน้ำตาถึงขั้นคนรักจากลาไปจากโลกนี้หรืออย่างไร แต่เหมือนเป็นเรื่องราวของผู้ใหญ่ ที่มีเหตุผลในการจากลา มีความสุขในการลาจาก ความทรงจำเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุด ในช่วงเวลาที่ทุกข์ที่สุดของการลาจาก แต่สุขที่สุดที่ช่วงเวลาที่สะสมเรื่องราวใส่กล่องความทรงจำ บางครั้ง อาจไม่จำเป็นต้องจบด้วยการครองคู่ แต่จบด้วยการใช้ชีวิตอยู่แบบเดิมก่อนหน้านี้ หากแต่ การใช้ชีวิตต่อจากนี้อาจไม่เหมือนเดิม เพราะ ความทรงจำบางช่วงที่ได้จากครั้งนั้น อาจเป็นตัวประสานความสัมพันธ์ที่เคยตึงเครียดแต่เดิม ให้กลับมาดีขึ้นมาใหม่ โดยการใช้ความทรงจำนั้น เป็นบทเรียนในการเรียนรู้ ว่าชีวิตหลังจากนี้ จะทำอย่างไร จึงจะเป็นสุขได้ ประสบการณ์เพียงช่วงเวลาหนึ่งจากความทรงจำ อาจทำให้เข้าใจสถานการณ์เดิมว่า เพราะอะไร ทำไมถึงต้องเป็นแบบนั้น หนังเรื่อง Lost in Translation เรื่องนี้ ไม่ได้จบด้วยฉากที่เศร้าแบบสุด ๆ เหมือนฉากจบโดยให้เกิด โศกนาฎกรรม เหมือนหนังหลายเรื่อง หรือให้จบแบบรักลงตัว พลิกล๊อคจับคู่ แต่หนังเรื่องนี้ เหมือนให้แง่คิดเชิงบวก แก่คนสองคน ที่ไม่ได้พยายามให้เกิดอะไร หรืออาจจะไม่เคยพยายามให้เกิดอะไรเลย แต่เป็นไปธรรมดาสามัญของคน ที่มีความคิดธรรมดาสามัญในเรื่องราวที่ธรรมดาสามัญ เรื่องนี้พยายามถ่ายทอดออกมาในแง่นี้มากกว่า lost in translation เล่าเรื่องของตัวละครสองคนที่ต้องเดินผ่านความขัดแย้ง และ วัฒนธรรม สภาพแวดล้อม และภาษาที่ไม่คุ้นเคย สิ่งเหล่านี้ทำให้พวกเขากลายเป็นบุคคลแปลกแยก โดดเดี่ยว เคว้งคว้าง ท่ามกลางผู้คนมากมาย ในความสนุกสานของผู้คนในกรุงโตเกียวพวกเขากับรู้สึกเบื่อหน่ายกับความเป็นอยู่ในแต่ละวันBob ดาราหนุ่มวัยกลางคน ที่ต้องมาทำงานเป็นพรีเซนเตอร์เหล้าวิสกี้ กับ Charlotte หญิงสาววัยรุ่นที่แต่งงานกับสามีอยู่ที่มาได้ซักพักแล้ว แต่ราวกับเหมือนว่า สามีเธอจะไม่ค่อยมีเวลาให้ ทำให้เธอรู้สึกโดดเดี่ยวเหมือนโดนทอดทิ้ง
ชายและหญิง สองความเหงาที่ต่างมุมมอง มาเจอกัน อีกคน โดดเดี่ยวในเรื่องความไม่คุ้นเคยในสถานที่ อีกคนโดดเดี่ยวในเรื่องความรู้สึกโดนคนรักทอดทิ้ง แต่ไปมาก็ทำให้เกิดมิตรภาพ ความรักดีๆ ระหว่างๆกัน
ผมมองว่าหนังเรื่องนี้มันมีความตลก ของตัวละคร เกี่ยวกับความไม่คุ้นชิน ในเรื่องภาษา การแสดงออกต่อผู้คนที่นี่ ของตัวละคร Bob ในฉากที่เขาไปออกกำลังกายเครื่องวิ่ง อาจด้วยเป็นคำสั่งเป็นภาษาญี่ปุ่น ทำให้รู้สึกสับสนจึงทำให้เป็นอย่างที่เห็น หรือแม้กระทั่งฉากที่เขาพา ชาร์ล๊อต ไปโรงพยาบาล แล้วเจอยายแก่ญี่ปุ่นมารอคิวรักษาอยู่ บทสนทนาที่ดูแล้วมันไม่ปะติดปะต่อ ดูตลกๆ อารมณ์ความโรแมนติกน่ารักมีให้เห็นอยู่ในหลายๆฉากในหนังเรื่องนี้ แต่จะแสดงออกมาคล้ายๆ ความโรแมนติกแบบเหงาๆ แต่โดยรวมดูแล้วผมไม่รู้สึกว่าเหงา แต่รู้สึกอบอุ่นไปกับมันความแตกต่างเกี่ยวกับวัฒนธรรมตะวันออก กับ ตะวันตก ในมุมมองที่ต่างกัน ซึ่ง Lost in translation นั้นถ่ายทอดการเล่าเรื่องแบบไม่ซับซ้อนแต่จริงใจ มันทำให้คนดูซึมซับไปกับตัวละครแบบไม่รู้ตัว นอกจากหนังมีมุมให้คิดต่อแล้ว ที่ที่ทำให้ใจเรารู้สึก อื้ออึง กับสิ่งรอบข้าง ทั้งยาก และอยากจะเข้าใจ แต่ก็ยังไม่เข้าใจ รวมทั้งยังมีคำถาม แล้วในฉากสุดท้ายว่า Bob พูดอะไร คำถามตามมาตั้งแต่เมื่อครั้งดูหนังเรื่องนี้ในโรงภาพยนตร์ แต่ก็รู้ว่า แล้วแต่คนดูอย่างเราตีความตามความคิดของแต่ละคน

ผลลัพธ์ (อังกฤษ) 2:

In the film Lost in Translation movie that tells the lonely mood of the character. Tokyo and atmosphere that invites confusion vociferous added a lonely man in the story skyscraper. Conveys the lonely mood to mood. Within the meaning of Lost in Translation is a constant rhythm lacks a brief hiatus of two people who met the couple in a few days, both offset and complement each other. The story of the film Lost in Translation estimated that assuming you bored with the same old local life, you begin to find new work for the new facility. In this story Japan is the place As the story progresses and the end of the story is known only country that filmed the area around the scene did not take anything. Subject to the smooth conduct most common convey the emotional imagery of character. The appearance of the characters
on the new. Sleepless event it has always happened. Combined with the tensions that existed previously. To alone In different cities and climate change. With the tension accumulating for a long time. The story of this This happens from The story continues where the place. You are the only one there. You come back to your search. Called Search for more about that feeling, just like you know you can go together. Worsening tension in the mind missing. The story continues Female characters meet The fun begins But this is not love sweet. Where or how to find true love, but this is one of the family members who have harbored tensions, but said it was up to the two characters have a family drama. The story did not end up smiling happy ending story, but the story ends at the conclusion of the good memories that have the same memories that once we have fun together. Memories we've known the place which has never known who was the last memories and leave happily
in the film Lost in Translation, this is not the tears of the lover of parting from this world. or? But it is the story of an adult A reason to leave. Happy to leave. Memorial is the most valuable. During the troubled times of the leave. But the happiest moments story collection box memory may not necessarily end with the couple. But by the end of the previous legacy lives but the life hereafter may be the same because of some memorable moments from that time. The binder may have strained relations originally. To back up again. By using such memories. A lesson to learn That after this life, how to be happy. Experienced only one moment from memory. May help to understand the situation because nothing Why is the
film Lost in Translation, this story does not end with the extremely sad as the ending by the tragedies like films. Or to end a perfect love Flip the lock pairing But this movie Like to think positive to two people who have not tried to do. Or may not ever attempt to nothing. But to ordinary people. The idea is common in the ordinary story. This story was trying to convey in this respect than
lost in translation tells the story of two characters who must walk through conflict and cultural environments and unfamiliar language. These things make them become isolated, alienated individuals aimlessly amidst the people. The fun of people in Tokyo, they are tired of living each day
Bob. Young, middle-aged actor To work as a presenter Charlotte whiskey with a teenage girl who married her husband are coming for awhile now. But as it seems Her husband will not have time to. She felt isolated, like I was homeless
men and women. Loneliness two different perspectives come together again alone in unfamiliar places. Another man alone in feeling neglected by loved ones. But to make it happen, love me the same
, I think this film is a comedy of character about the familiarity of the language of expression to people, here's character Bob the scene at him. Go treadmill exercise Probably with a statement in Japanese. It is a little confusing as it seems. Or even a scene where he took Charlotte's grandmother to the hospital, then come to Japan for treatment queues. It's disjointed conversation that I look funny, emotional, romantic love is seen in several scenes in the movie. It will show similar The romantic lonely. But overall, I do not feel lonely. But warmed to it a difference about Eastern culture with Western views differ Lost in translation, which then relay the storytelling simple but sincere. It makes the audience feel the characters are unconscious. The film has a corner to think about it. That makes us feel what the injunctions against both tough and wants to understand. I still do not understand A question And in the final scene that Bob say when the question came from watching this film in theaters, but I know people look at us as interpreted by each individual.