ต้นกำเนิดของเพชรน้ำงามสีน้ำเงินลึกล้ำอันหาที่ติได้ยากเม็ดนี้ ยังคงคลุม การแปล - ต้นกำเนิดของเพชรน้ำงามสีน้ำเงินลึกล้ำอันหาที่ติได้ยากเม็ดนี้ ยังคงคลุม ไทย วิธีการพูด

ต้นกำเนิดของเพชรน้ำงามสีน้ำเงินลึกล

ต้นกำเนิดของเพชรน้ำงามสีน้ำเงินลึกล้ำอันหาที่ติได้ยากเม็ดนี้ ยังคงคลุมเครืออยู่มากเพราะไม่มีบันทึกไว้แน่นอน แต่เป็นที่รู้จักกันว่าคนแรกที่ได้ครอบครองคือนักค้าเพชรพลอยผู้ช่ำชองการเดินทางชาวฝรั่งเศสสมัยกลางคริสตศตวรรษที่ 17 ชื่อ ชอง แบบติสต์ ตาแวร์นิเยร์(Jean Baptist Tavernier) ระหว่างการเดินทางมายังประเทศอินเดีย ตาแวร์นิเยร์ค้นพบหินที่มีค่าที่มองดูภายนอกเหมือนแซฟไฟร์เม็ดใหญ่แต่ที่จริงแล้วคือเพชรดิบสีน้ำเงินขนาด 112 3/16 กะรัต ซึ่งนับว่าใหญ่ที่สุดในโลกในบรรดาเพชรสีน้ำเงินในอดีตที่เคยพบมา

จุดกำเนิดอาถรรพ์อยู่ที่เรื่องเล่าที่ว่า แท้จริงแล้วเพชรถูกขโมยมาจากพระเนตร (บางที่ก็ว่าจากพระนลาฏ) ของเทวรูปนางสีดาซึ่งเป็นร่างที่พระนางลักษมีชายาของพระวิษณุที่ชาวอินเดียเคารพนับถืออย่างสูงแปลงลงมาจุติ ทำให้เทพเจ้าไม่พอพระทัยและสาปแช่งมนุษย์ผู้ใดก็ตามที่บังอาจครอบครองสมบัติชิ้นนี้ อย่างไรก็ตาม มีผู้แสดงความคิดเห็นคัดค้านว่าตำนานนี้ไม่น่าจะเป็นเรื่องจริง เนื่องจากรูปร่างของเพชรดิบสีน้ำเงินไม่เหมาะที่จะเป็นอัญมณีประดับที่พระเนตร(หรือพระนลาฏ) ของเทวรูปเลย แต่ไม่ว่าคำสาปแช่งจะมีอยู่จริงหรือไม่ ข้อเท็จจริงที่จะได้เล่าต่อไปก็ล้วนชี้ให้เห็นว่าบรรดาเจ้าของเพชรอาถรรพ์ต่างก็ประสบชะตากรรมเลวร้ายทั้งสิ้น

หลังจากที่ตาแวร์นิเยร์เดินทางกลับประเทศฝรั่งเศส เขาได้ขายเพชรเม็ดใหญ่นี้ให้พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งราชวงศ์บูร์บอง และเมื่ออายุได้ 84 ปี ตาแวร์นิเยร์ก็เสียชีวิตอย่างลึกลับที่รัสเซีย โดยมีข่าวลือว่าเขาถูกหมาป่าฉีกร่างจนตาย นับเป็นการสังเวยครั้งแรกให้แก่อาถรรพ์เพชรโฮป

เมื่อเพชรโฮปอยู่ในความครอบครองของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 สุริยกษัตริย์ผู้เรืองโรจน์ได้มีรับสั่งให้เจียระไนเพชรใหม่อีกครั้ง เนื่องจากการเจียระไนครั้งแรก ช่างฝีมือเน้นเรื่องขนาดมากกว่าความงามของน้ำเพชร ครั้งนี้พระองค์ทรงให้ตัดแบ่งเพชรออกเป็น 3 ส่วน ชิ้นแรกนั้นหายสาปสูญไป ส่วนอีกสองชิ้น ชิ้นหนึ่งได้รับการเจียระไนเป็นรูปหัวใจขนาด 67 1/8 กะรัต และใช้เป็นเพชรประดับประจำราชวงศ์ฝรั่งเศสมาอีกนับทศวรรษในชื่อ "เพชรมงกุฏสีน้ำเงิน" (Blue diamond of the crown) หรือ "สีน้ำเงินแห่งฝรั่งเศส" (French Blue) ซึ่งในเวลาต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็นเพชรโฮป ส่วนเพชรชิ้นสุดท้ายไม่มีหลักฐานแน่ชัดแต่เชื่อว่าคือเพชรที่เรียกว่า "บรันสวิก บลู "

เวลาผ่านไป ความโชคร้ายก็เริ่มคืบคลานเข้าครอบงำสมาชิกราชวงศ์และผู้ที่เกี่ยวข้องกับเพชรทีละน้อย เสนาบดีคลัง นิโคลัส ฟูเก ที่เคยหยิบยืมเพชรไปใส่ ในที่สุดก็ต้องออกจากตำแหน่ง ทั้งยังต้องโทษติดคุก แต่ที่ร้ายไปกว่านั้น คือชะตากรรมของพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 และพระราชินีมารี อังตัวเนตต์ที่ได้รับสืบทอดเพชรแห่งหายนะ ทั้งสองพระองค์ถูกตัดพระเศียรด้วยกิโยตินอย่างน่าสยดสยอง ดังที่จารึกอยู่ในประวัติศาสตร์การปฏิวัติอันนองเลือดของฝรั่งเศสในปีคริสตศักราช 1789 และเพชรมรณะเม็ดนี้ก็ได้หายสาปสูญไปในเหตุการณ์วุ่นวายครั้งนี้ด้วย

ต่อมาในปี 1813 ณ กรุง ลอนดอน นายหน้าค้าเพชรนาม ดาเนียล เอเลียสัน (Daniel Eliason) ได้เพชรสีน้ำเงินเม็ดหนึ่งขนาด 44 กะรัตมาไว้ในครอบครอง ถึงแม้รูปร่างลักษณะจะไม่เหมือนเดิม แต่ด้วยความงามที่เป็นหนึ่งไม่มีสอง ทำให้ผู้ที่ได้พบเห็นเชื่อกันว่า มันก็คือเพชรน้ำเงินแห่งฝรั่งเศสที่ถูกเปลี่ยนรูปร่างไปเพื่อให้สะดวกต่อการขนย้ายข้ามชาติอย่างลับๆ กล่าวกันว่าผู้ที่ทำการเจียระไนคือ วิลเฮล์ม ฟาลส์ (Wilhlem Fals) นักเจียระไนชาวฮอลแลนด์ก็มีจุดจบอย่างน่าเศร้า ถูกบุตรชายของตนเองขโมยเพชรล้ำค่าไปจนตรอมใจตาย ในขณะที่บุตรคนนั้นในภายหลังก็ได้ฆ่าตัวตายอย่างไม่ทราบสาเหตุ

มีหลักฐานจากบางแหล่งว่าพระเจ้าจอร์จที่ 4 แห่งราชวงศ์อังกฤษก็เป็นพระองค์หนึ่งที่เคยได้ครอบครองเพชรอาถรรพ์ และทางราชวงศ์ต้องขายมันไปเมื่อสิ้นพระชนม์เพื่อจ่ายหนี้ที่มีอยู่มหาศาล จากนั้นเพชรก็ถูกเปลี่ยนมือไปเรื่อยๆ จนในปีคริสตศักราช 1939 เฮนรี ฟิลิปโฮป (Henry Philip Hope) เจ้าของมรดกบริษัทการธนาคารก็ซื้อเพชรสีน้ำเงินเม็ดนี้ไว้ เพชรมงกุฏแห่งฝรั่งเศสจึงได้กลายเป็นเพชรประจำตระกูลโฮป และได้ชื่อว่า "เพชรโฮป" นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

เรื่องเล่าว่ากันว่าตระกูลโฮปที่เคยร่ำรวย ต้องประสบมรสุมชีวิตและลงท้ายด้วยการล้มละลายเนื่องจากถูกคำสาปของเพชร ซึ่งตามข้อเท็จจริงมีอยู่ว่าหลังจากเฮนรี ฟิลิป โฮป ผู้ไม่มีบุตร เสียชีวิตลง เพชรโฮปได้ตกทอดเป็นมรดกไปถึงสมัยเหลนของเขาคือลอร์ด ฟรานซิส โฮป (Lord Francis Hope) ซึ่งเป็นนักพนันตัวยง เขาได้ผลาญเงินของตระกูลไปกับการพนัน จนในที่สุดก็ต้องขายเพชรเพื่อใช้หนี้และตระกูลโฮปต้องเผชิญกับความลำบากไปอีกหลายชั่วอายุคน



เพชรโฮป
อีกครั้งที่เพชรโฮปได้เดินทางไปทั่ว ผ่านพระหัตถ์ของเจ้าชายคานิตอฟสกีแห่งรัสเซีย ซึ่งทรงได้มอบเพชรเป็นของกำนัลแก่นางละครที่โฟลีส์ แบแย (Folies Bergere) คนเดียวกับที่พระองค์ทรงยิงจนเสียชีวิตในอีกไม่กี่วันต่อมา ส่วนตัวเจ้าชายก็ถูกพวกกบฏแทงสิ้นพระชนม์ตามไปติดๆ ไปจนถึงชาวกรีกคนหนึ่งชื่อ ไซมอน มอนธะริเดส (Simon Montharides)ที่ซื้อเพชรโฮปไว้แต่ก็ต้องประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์จนเสียชีวิตทั้งครอบครัว ถึงปีคริสศักราช 1908 สุลต่านอับดุล ฮามิดที่ 2 แห่งตุรกี (Abdul-Hamid II) ที่ได้ครอบครองเพชรเพียงสองสามเดือนก็ถูกรัฐประหารปลดออกจากตำแหน่ง และในปลายปีถัดมา นายหะบิบ เจ้าของเพชรชาวอียิปตคนใหม่ก็เสียชีวิตจากเรืออัปปาง ที่ช่องริโอ

ผู้ครอบครองเพชรโฮปคนต่อมาคือ นางเอวาลีน วอลซ์ แมคลีน (Evalyn Walsh Mclean) ภรรยานายเอ็ดเวิร์ด แมคลีน (Edward Mclean) เจ้าของหนังสือพิมพ์วอชิงตัน โพสต์ บุตรชายของนางถูกรถชนเสียชีวิต และต่อมาไม่นานนายเอ็ดเวิร์ดก็กลายเป็นคนวิกลจริตและจบชีวิตในโรงพยาบาลโรคประสาท

เมื่อเริ่องราวร้ายๆดูจะเกิดขึ้นติดต่อกันไม่หยุดหย่อน ในที่สุดนายแฮร์รี่ วินสตันเจ้าของคนสุดท้ายจึงตัดสินใจบริจาคเพชรโฮปให้แก่สถาบันสมิธโซเนียน (Smithsonian Institution) ที่วอชิงตัน ดี ซี ในปี 1958 ซึ่งเพชรโฮปได้อยู่อย่างสงบที่นั่นจนถึงปัจจุบันนี้
0/5000
จาก: -
เป็น: -
ผลลัพธ์ (ไทย) 1: [สำเนา]
คัดลอก!
ต้นกำเนิดของเพชรน้ำงามสีน้ำเงินลึกล้ำอันหาที่ติได้ยากเม็ดนี้ยังคงคลุมเครืออยู่มากเพราะไม่มีบันทึกไว้แน่นอนแต่เป็นที่รู้จักกันว่าคนแรกที่ได้ครอบครองคือนักค้าเพชรพลอยผู้ช่ำชองการเดินทางชาวฝรั่งเศสสมัยกลางคริสตศตวรรษที่ 17 ชื่อชองแบบติสต์ตาแวร์นิเยร์ (ฌองแบพติสท์ Tavernier) ระหว่างการเดินทางมายังประเทศอินเดียตาแวร์นิเยร์ค้นพบหินที่มีค่าที่มองดูภายนอกเหมือนแซฟไฟร์เม็ดใหญ่แต่ที่จริงแล้วคือเพชรดิบสีน้ำเงินขนาด 112 3/16 กะรัตซึ่งนับว่าใหญ่ที่สุดในโลกในบรรดาเพชรสีน้ำเงินในอดีตที่เคยพบมาจุดกำเนิดอาถรรพ์อยู่ที่เรื่องเล่าที่ว่าแท้จริงแล้วเพชรถูกขโมยมาจากพระเนตร (บางที่ก็ว่าจากพระนลาฏ) ของเทวรูปนางสีดาซึ่งเป็นร่างที่พระนางลักษมีชายาของพระวิษณุที่ชาวอินเดียเคารพนับถืออย่างสูงแปลงลงมาจุติทำให้เทพเจ้าไม่พอพระทัยและสาปแช่งมนุษย์ผู้ใดก็ตามที่บังอาจครอบครองสมบัติชิ้นนี้อย่างไรก็ตามมีผู้แสดงความคิดเห็นคัดค้านว่าตำนานนี้ไม่น่าจะเป็นเรื่องจริงเนื่องจากรูปร่างของเพชรดิบสีน้ำเงินไม่เหมาะที่จะเป็นอัญมณีประดับที่พระเนตร(หรือพระนลาฏ)ของเทวรูปเลยแต่ไม่ว่าคำสาปแช่งจะมีอยู่จริงหรือไม่ข้อเท็จจริงที่จะได้เล่าต่อไปก็ล้วนชี้ให้เห็นว่าบรรดาเจ้าของเพชรอาถรรพ์ต่างก็ประสบชะตากรรมเลวร้ายทั้งสิ้นหลังจากที่ตาแวร์นิเยร์เดินทางกลับประเทศฝรั่งเศสเขาได้ขายเพชรเม็ดใหญ่นี้ให้พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งราชวงศ์บูร์บองและเมื่ออายุได้ 84 ปีตาแวร์นิเยร์ก็เสียชีวิตอย่างลึกลับที่รัสเซียโดยมีข่าวลือว่าเขาถูกหมาป่าฉีกร่างจนตายนับเป็นการสังเวยครั้งแรกให้แก่อาถรรพ์เพชรโฮปเมื่อเพชรโฮปอยู่ในความครอบครองของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ซึ่งในเวลาต่อมาได้เสุริยกษัตริย์ผู้เรืองโรจน์ได้มีรับสั่งให้เจียระไนเพชรใหม่อีกครั้งเนื่องจากการเจียระไนครั้งแรกช่างฝีมือเน้นเรื่องขนาดมากกว่าความงามของน้ำเพชรครั้งนี้พระองค์ทรงให้ตัดแบ่งเพชรออกเป็น 3 ส่วนชิ้นแรกนั้นหายสาปสูญไปส่วนอีกสองชิ้นชิ้นหนึ่งได้รับการเจียระไนเป็นรูปหัวใจขนาด 67 1/8 กะรัตและใช้เป็นเพชรประดับประจำราชวงศ์ฝรั่งเศสมาอีกนับทศวรรษในชื่อ "เพชรมงกุฏสีน้ำเงิน" (บลูไดมอนด์ของมงกุฎ) หรือ "สีน้ำเงินแห่งฝรั่งเศส" (ฝรั่งเศสสีน้ำเงิน)ปลี่ยนชื่อเป็นเพชรโฮปส่วนเพชรชิ้นสุดท้ายไม่มีหลักฐานแน่ชัดแต่เชื่อว่าคือเพชรที่เรียกว่า "บรันสวิกบลู"เวลาผ่านไปความโชคร้ายก็เริ่มคืบคลานเข้าครอบงำสมาชิกราชวงศ์และผู้ที่เกี่ยวข้องกับเพชรทีละน้อยเสนาบดีคลังนิโคลัสฟูเกที่เคยหยิบยืมเพชรไปใส่ในที่สุดก็ต้องออกจากตำแหน่งทั้งยังต้องโทษติดคุกแต่ที่ร้ายไปกว่านั้นคือชะตากรรมของพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 และพระราชินีมารีอังตัวเนตต์ที่ได้รับสืบทอดเพชรแห่งหายนะทั้งสองพระองค์ถูกตัดพระเศียรด้วยกิโยตินอย่างน่าสยดสยองดังที่จารึกอยู่ในประวัติศาสตร์การปฏิวัติอันนองเลือดของฝรั่งเศสในปีคริสตศักราชค.ศ. 1789 และเพชรมรณะเม็ดนี้ก็ได้หายสาปสูญไปในเหตุการณ์วุ่นวายครั้งนี้ด้วยต่อมาในปี 1813 ณกรุงลอนดอนนายหน้าค้าเพชรนามดาเนียล (Daniel Eliason) เอเลียสันได้เพชรสีน้ำเงินเม็ดหนึ่งขนาด 44 กะรัตมาไว้ในครอบครองถึงแม้รูปร่างลักษณะจะไม่เหมือนเดิมแต่ด้วยความงามที่เป็นหนึ่งไม่มีสองทำให้ผู้ที่ได้พบเห็นเชื่อกันว่ามันก็คือเพชรน้ำเงินแห่งฝรั่งเศสที่ถูกเปลี่ยนรูปร่างไปเพื่อให้สะดวกต่อการขนย้ายข้ามชาติอย่างลับ ๆ กล่าวกันว่าผู้ที่ทำการเจียระไนคือวิลเฮล์มฟาลส์ (Wilhlem Fals) นักเจียระไนชาวฮอลแลนด์ก็มีจุดจบอย่างน่าเศร้าถูกบุตรชายของตนเองขโมยเพชรล้ำค่าไปจนตรอมใจตายในขณะที่บุตรคนนั้นในภายหลังก็ได้ฆ่าตัวตายอย่างไม่ทราบสาเหตุ มีหลักฐานจากบางแหล่งว่าพระเจ้าจอร์จที่ 4 แห่งราชวงศ์อังกฤษก็เป็นพระองค์หนึ่งที่เคยได้ครอบครองเพชรอาถรรพ์และทางราชวงศ์ต้องขายมันไปเมื่อสิ้นพระชนม์เพื่อจ่ายหนี้ที่มีอยู่มหาศาลจากนั้นเพชรก็ถูกเปลี่ยนมือไปเรื่อย ๆ นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจนในปีคริสตศักราช 1939 เฮนรี (Henry ฟิลิปโฮป) ฟิลิปโฮปเจ้าของมรดกบริษัทการธนาคารก็ซื้อเพชรสีน้ำเงินเม็ดนี้ไว้เพชรมงกุฏแห่งฝรั่งเศสจึงได้กลายเป็นเพชรประจำตระกูลโฮปและได้ชื่อว่า "เพชรโฮป"เรื่องเล่าว่ากันว่าตระกูลโฮปที่เคยร่ำรวยต้องประสบมรสุมชีวิตและลงท้ายด้วยการล้มละลายเนื่องจากถูกคำสาปของเพชรซึ่งตามข้อเท็จจริงมีอยู่ว่าหลังจากเฮนรีฟิลิปโฮปผู้ไม่มีบุตรเสียชีวิตลงเพชรโฮปได้ตกทอดเป็นมรดกไปถึงสมัยเหลนของเขาคือลอร์ดฟรานซิสโฮป (พระ Francis หวัง) ซึ่งเป็นนักพนันตัวยงเขาได้ผลาญเงินของตระกูลไปกับการพนันจนในที่สุดก็ต้องขายเพชรเพื่อใช้หนี้และตระกูลโฮปต้องเผชิญกับความลำบากไปอีกหลายชั่วอายุคน เพชรโฮปอีกครั้งที่เพชรโฮปได้เดินทางไปทั่วผ่านพระหัตถ์ของเจ้าชายคานิตอฟสกีแห่งรัสเซียซึ่งทรงได้มอบเพชรเป็นของกำนัลแก่นางละครที่โฟลีส์แบแย (Folies โรงแรแบคแชร์) คนเดียวกับที่พระองค์ทรงยิงจนเสียชีวิตในอีกไม่กี่วันต่อมาส่วนตัวเจ้าชายก็ถูกพวกกบฏแทงสิ้นพระชนม์ตามไปติด ๆ ไปจนถึงชาวกรีกคนหนึ่งชื่อไซมอน (Simon Montharides) มอนธะริเดสที่ซื้อเพชรโฮปไว้แต่ก็ต้องประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์จนเสียชีวิตทั้งครอบครัวถึงปีคริสศักราช 1908 สุลต่านอับดุลฮามิดที่ 2 แห่งตุรกี (Abdul กร่าง II) ที่ได้ครอบครองเพชรเพียงสองสามเดือนก็ถูกรัฐประหารปลดออกจากตำแหน่งและในปลายปีถัดมานายหะบิบเจ้าของเพชรชาวอียิปตคนใหม่ก็เสียชีวิตจากเรืออัปปางที่ช่องริโอผู้ครอบครองเพชรโฮปคนต่อมาคือนางเอวาลีนวอลซ์แมคลีน (Evalyn วอลช์ลาด) ภรรยานายเอ็ดเวิร์ดแมคลีน (เอ็ดเวิร์ดลาด) เจ้าของหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์บุตรชายของนางถูกรถชนเสียชีวิตและต่อมาไม่นานนายเอ็ดเวิร์ดก็กลายเป็นคนวิกลจริตและจบชีวิตในโรงพยาบาลโรคประสาทเมื่อเริ่องราวร้ายๆดูจะเกิดขึ้นติดต่อกันไม่หยุดหย่อนในที่สุดนายแฮร์รี่วินสตันเจ้าของคนสุดท้ายจึงตัดสินใจบริจาคเพชรโฮปให้แก่สถาบันสมิธโซเนียน (สถาบันสมิธโซเนียน) ที่วอชิงตันดีซีในปี 1958 ซึ่งเพชรโฮปได้อยู่อย่างสงบที่นั่นจนถึงปัจจุบันนี้
การแปล กรุณารอสักครู่..
ผลลัพธ์ (ไทย) 2:[สำเนา]
คัดลอก!
17 ชื่อชองแบบติสต์ตาแวร์นิเยร์ (Jean Baptist Tavernier) 112 3/16 กะรัต (บางที่ก็ว่าจากพระนลาฏ) อย่างไรก็ตาม ของเทวรูปเลย 14 แห่งราชวงศ์บูร์บองและเมื่ออายุได้ 84 ปี 14 เนื่องจากการเจียระไนครั้งแรก 3 ส่วนชิ้นแรกนั้นหายสาปสูญไปส่วนอีกสองชิ้น 67 1/8 กะรัต "เพชรมงกุฏสีน้ำเงิน" (เพชรสีฟ้าของมงกุฎ) หรือ "สีน้ำเงินแห่งฝรั่งเศส" (ฝรั่งเศสสีฟ้า) "บรันสวิกบลู" เวลาผ่านไป เสนาบดีคลังนิโคลัสฟูเกที่เคยหยิบยืมเพชรไปใส่ในที่สุดก็ต้องออกจากตำแหน่งทั้งยังต้องโทษติดคุก แต่ที่ร้ายไปกว่านั้นคือชะตากรรมของพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 และพระราชินีมารี 1789 1813 ณ กรุงลอนดอนนายหน้าค้าเพชรนามดาเนียลเอเลียสัน (แดเนียล Eliason) ได้เพชรสีน้ำเงินเม็ดหนึ่งขนาด 44 กะรัตมาไว้ในครอบครอง ทำให้ผู้ที่ได้พบเห็นเชื่อกันว่า กล่าวกันว่าผู้ที่ทำการเจียระไนคือวิลเฮล์มฟาลส์ (Wilhlem Fals) 4 จนในปีคริสตศักราช 1939 เฮนรีฟิลิปโฮป (เฮนรี่ฟิลิปโฮป) และได้ชื่อว่า "เพชรโฮป" ฟิลิปโฮปผู้ไม่มีบุตรเสียชีวิตลง ฟรานซิสโฮป (พระเจ้าฟรานซิส Hope) ซึ่งเป็นนักพนันตัวยง แบแย (Folies Bergere) ไปจนถึงชาวกรีกคนหนึ่งชื่อไซมอนมอนธะริเดส (ไซมอน ถึงปีคริสศักราช 1908 สุลต่านอับดุลฮามิดที่ 2 แห่งตุรกี (อับดุลฮามิดที่สอง) และในปลายปีถัดมานายหะบิบ นางเอวาลีนวอลซ์แมคลีน (Evalyn วอลช์ Mclean) ภรรยานายเอ็ดเวิร์ดแมคลีน (เอ็ดเวิร์ด Mclean) เจ้าของหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์บุตรชายของนางถูกรถชนเสียชีวิต ในที่สุดนายแฮร์รี่ (Smithsonian Institution) ที่วอชิงตันดีซีในปี 1958






















การแปล กรุณารอสักครู่..
ผลลัพธ์ (ไทย) 3:[สำเนา]
คัดลอก!
ต้นกำเนิดของเพชรน้ำงามสีน้ำเงินลึกล้ำอันหาที่ติได้ยากเม็ดนี้ยังคงคลุมเครืออยู่มากเพราะไม่มีบันทึกไว้แน่นอน17 ชื่อชองแบบติสต์ตาแวร์นิเยร์ ( Jean Baptist เทเวอร์เนียร์ ) ระหว่างการเดินทางมายังประเทศอินเดียตาแวร์นิเยร์ค้นพบหินที่มีค่าที่มองดูภายนอกเหมือนแซฟไฟร์เม็ดใหญ่แต่ที่จริงแล้วคือเพชรดิบสีน้ำเงินขนาด 112 3 / 16 กะรัต
จุดกำเนิดอาถรรพ์อยู่ที่เรื่องเล่าที่ว่าแท้จริงแล้วเพชรถูกขโมยมาจากพระเนตร ( บางที่ก็ว่าจากพระนลาฏ ) ของเทวรูปนางสีดาซึ่งเป็นร่างที่พระนางลักษมีชายาของพระวิษณุที่ชาวอินเดียเคารพนับถืออย่างสูงแปลงลงมาจุติอย่างไรก็ตามมีผู้แสดงความคิดเห็นคัดค้านว่าตำนานนี้ไม่น่าจะเป็นเรื่องจริงเนื่องจากรูปร่างของเพชรดิบสีน้ำเงินไม่เหมาะที่จะเป็นอัญมณีประดับที่พระเนตร ( หรือพระนลาฏ ) ของเทวรูปเลยข้อเท็จจริงที่จะได้เล่าต่อไปก็ล้วนชี้ให้เห็นว่าบรรดาเจ้าของเพชรอาถรรพ์ต่างก็ประสบชะตากรรมเลวร้ายทั้งสิ้น

หลังจากที่ตาแวร์นิเยร์เดินทางกลับประเทศฝรั่งเศสเขาได้ขายเพชรเม็ดใหญ่นี้ให้พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งราชวงศ์บูร์บองและเมื่ออายุได้ตาแวร์นิเยร์ก็เสียชีวิตอย่างลึกลับที่รัสเซีย 84 .นับเป็นการสังเวยครั้งแรกให้แก่อาถรรพ์เพชรโฮป

เมื่อเพชรโฮปอยู่ในความครอบครองของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 สุริยกษัตริย์ผู้เรืองโรจน์ได้มีรับสั่งให้เจียระไนเพชรใหม่อีกครั้งเนื่องจากการเจียระไนครั้งแรกช่างฝีมือเน้นเรื่องขนาดมากกว่าความงามของน้ำเพชร3 ส่วนชิ้นแรกนั้นหายสาปสูญไปส่วนอีกสองชิ้นชิ้นหนึ่งได้รับการเจียระไนเป็นรูปหัวใจขนาด 67 1 / 8 กะรัตและใช้เป็นเพชรประดับประจำราชวงศ์ฝรั่งเศสมาอีกนับทศวรรษในชื่อ " เพชรมงกุฏสีน้ำเงิน " ( เพชรมงกุฎสีน้ำเงิน ) ค็อค( ฝรั่งเศสซึ่งในเวลาต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็นเพชรโฮปสีฟ้า ) ส่วนเพชรชิ้นสุดท้ายไม่มีหลักฐานแน่ชัดแต่เชื่อว่าคือเพชรที่เรียกว่า " บรันสวิกบลู "

เวลาผ่านไปความโชคร้ายก็เริ่มคืบคลานเข้าครอบงำสมาชิกราชวงศ์และผู้ที่เกี่ยวข้องกับเพชรทีละน้อยเสนาบดีคลังนิโคลัสฟูเกที่เคยหยิบยืมเพชรไปใส่ในที่สุดก็ต้องออกจากตำแหน่งทั้งยังต้องโทษติดคุกคือชะตากรรมของพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 และพระราชินีมารีอังตัวเนตต์ที่ได้รับสืบทอดเพชรแห่งหายนะทั้งสองพระองค์ถูกตัดพระเศียรด้วยกิโยตินอย่างน่าสยดสยอง
การแปล กรุณารอสักครู่..
 
ภาษาอื่น ๆ
การสนับสนุนเครื่องมือแปลภาษา: กรีก, กันนาดา, กาลิเชียน, คลิงออน, คอร์สิกา, คาซัค, คาตาลัน, คินยารวันดา, คีร์กิซ, คุชราต, จอร์เจีย, จีน, จีนดั้งเดิม, ชวา, ชิเชวา, ซามัว, ซีบัวโน, ซุนดา, ซูลู, ญี่ปุ่น, ดัตช์, ตรวจหาภาษา, ตุรกี, ทมิฬ, ทาจิก, ทาทาร์, นอร์เวย์, บอสเนีย, บัลแกเรีย, บาสก์, ปัญจาป, ฝรั่งเศส, พาชตู, ฟริเชียน, ฟินแลนด์, ฟิลิปปินส์, ภาษาอินโดนีเซี, มองโกเลีย, มัลทีส, มาซีโดเนีย, มาราฐี, มาลากาซี, มาลายาลัม, มาเลย์, ม้ง, ยิดดิช, ยูเครน, รัสเซีย, ละติน, ลักเซมเบิร์ก, ลัตเวีย, ลาว, ลิทัวเนีย, สวาฮิลี, สวีเดน, สิงหล, สินธี, สเปน, สโลวัก, สโลวีเนีย, อังกฤษ, อัมฮาริก, อาร์เซอร์ไบจัน, อาร์เมเนีย, อาหรับ, อิกโบ, อิตาลี, อุยกูร์, อุสเบกิสถาน, อูรดู, ฮังการี, ฮัวซา, ฮาวาย, ฮินดี, ฮีบรู, เกลิกสกอต, เกาหลี, เขมร, เคิร์ด, เช็ก, เซอร์เบียน, เซโซโท, เดนมาร์ก, เตลูกู, เติร์กเมน, เนปาล, เบงกอล, เบลารุส, เปอร์เซีย, เมารี, เมียนมา (พม่า), เยอรมัน, เวลส์, เวียดนาม, เอสเปอแรนโต, เอสโทเนีย, เฮติครีโอล, แอฟริกา, แอลเบเนีย, โคซา, โครเอเชีย, โชนา, โซมาลี, โปรตุเกส, โปแลนด์, โยรูบา, โรมาเนีย, โอเดีย (โอริยา), ไทย, ไอซ์แลนด์, ไอร์แลนด์, การแปลภาษา.

Copyright ©2025 I Love Translation. All reserved.

E-mail: