บาส : สมัยรัชกาลที่ 4 ที่เริ่มเรียนรู้วิทยาการของตะวันตกเข้ามาบ้าง เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงการแต่งตัวและทรงผมบ้าง ยังเป็นทรงผมปีกคือ โกนหรือตัดสั้นโดยรอบ ปล่อยผมไว้ยาวพอประมาณบริเวณตอนบนและกลางศีรษะหวีเสยตั้งขึ้นโบราณเรียกว่าตัดผมขูดหัว จับด้วยน้ำมันตานี ซึ่งเป็นน้ำมันมะพร้าวที่เคี่ยวผสมด้วยขี้ผึ้งน้ำมันหอม และเขม่าจนทำให้ผมตั้งแข็งและดำเงางาม มีการกันไรผมบริเวณรอบวงหน้าและไว้จอนยาวสองข้างใบหู
เมื่อเข้าสู่สมัยรัชกาลที่ 5 ได้เสด็จไปต่างประเทศหลายครั้งจึงได้รับอิทธิพลทางตะวันตกเข้ามา ได้โปรดให้เปลี่ยนการไว้ผมจากทรงมหาดไทยมาไว้ผมยาวแล้วดัดแบบฝรั่งด้วย ชายส่วนใหญ่เลิกไว้ทรงมหาดไทย มาไว้ผมยาวขึ้นแล้วตัดอย่างฝรั่งมีทั้งหวีแสกและหวีเสย ส่วนสตรีในราชสำนักเลิกไว้ผมปีกแต่เปลี่ยนมาไว้ผมยาวประบ่าแทน ลักษณะคือไว้ผมยาวลงมาบริเวณต้นคอและจับด้วยน้ำมันตานีหอม ด้านหน้าหวีเสยขึ้น แสกกลางและทัดส้นผมบริเวณด้านข้างของศีรษะการไว้จอนสองข้างใบหูเริ่มหายไป วิวัฒนาการทรงผมมีการพัฒนาไปอีก รวมถึงร้านตัดผมที่มีหลักฐานว่าเกิดขึ้นครั้งแรกในสมัยรัชกาลนี้เช่นกัน
ยุคปลายรัชกาลที่ 5 สตรีแรกรุ่นจะเริ่มนิยมไว้ผมยาวลงมาถึงกลางหลังและหวีเสยด้านหน้าให้ตั้งสูง ใส่ช้องผมไว้ภายในตามแบบสตรีญี่ปุ่นในภาพยนตร์ต่างชาติที่เริ่มนำเข้ามาฉายในราชสำนักยุคนั้น และมีการตกแต่งประดับด้วยแถบผ้าแถบลูกไม้โบริบบิ้นหรือลูกปัดอย่างงดงาม
สมัยรัชกาลที่ 6 ทรงมีพระราชดำริให้สตรีในราชสำนักปล่อยผมยาวแบบตะวันตก ต่อมาเกล้าผมยาวตลบไว้ที่ท้ายทอยเรียกว่าผมโป่ง เพราะบางคนผมยาวไม่พอเกล้า ก็จะใช้ก้อนผมรองภายในให้ผมเดิมโป่งออกมา นอกจากการไว้ผมโป่งแล้วบางคนนิยมไว้ผมบ๊อบคือตัดผมยาวเสมอคอผมข้าง ๆ ตัดให้เป็นจอนหู ถ้าจอนใหญ่มากเรียกว่าบ๊อบหู ในสมัยนี้นิยมใช้เครื่องประดับคาดที่ศีรษะ วิวัฒนาการการไว้ผมของหญิงไทยค่อย ๆ ไว้ยาวขึ้นจนกระทั่งมีการไว้ผมโป่ง และมีการนำเครื่องประดับมาตกแต่งผม ทำให้วัฒนธรรมการไว้ผมเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมาก