แกล้งดิน แกล้งดิน เป็นแนวพระราชดําริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพ การแปล - แกล้งดิน แกล้งดิน เป็นแนวพระราชดําริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพ อังกฤษ วิธีการพูด

แกล้งดิน แกล้งดิน เป็นแนวพระราชดําร


แกล้งดิน
แกล้งดิน เป็นแนวพระราชดําริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เกี่ยวกับการแก้ปัญหาดินเปรี้ยว หรือดินเป็นกรด โดยมีการขังน้ําไว้ใน พื้นที่จนกระทั่งเกิดปฏิกิริยาเคมีทําให้ดินเปรี้ยวจัด จนถึงที่สุด แล้วจึงระบายน้ําออกและปรับสภาพฟื้นฟูดินด้วยปูนขาว จนกระทั่งดินมีสภาพดีพอที่จะใช้ ในการเพาะปลูกได้
หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เสด็จฯ เยี่ยมราษฎรในเขตจังหวัดนราธิวาส เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๔ ทรงพบว่า ดินในพื้นที่พรุที่มีการชักน้ําออก เพื่อ จะนําที่ดินมาใช้ทําการเกษตรนั้น แปรสภาพเป็นดินเปรี้ยวจัด ทําให้เพาะปลูกไม่ได้ผล จึงมีพระราชดําริให้ส่วนราชการต่าง ๆ พิจารณาหาแนวทางในการ ปรับปรุงพื้นที่พรุที่มีน้ําแช่ขังตลอดปีให้เกิด ประโยชน์ในทางการเกษตรมากที่สุด และให้คํานึงถึงผลกระทบต่อระบบนิเวศน์ด้วย การแปรสภาพเป็นดิน เปรี้ยวจัด เนื่องจากดินมีลักษณะเป็นเศษอินทรียวัตถุ หรือซากพืชเน่าเปื่อยอยู่ข้างบน และมีระดับความลึก ๑ - ๒ เมตร เป็นดินเลนสีเทาปนน้ําเงิน ซึ่งมี สารประกอบกํามะถัน ที่เรียกว่า สารประกอบไพไรท์ (Pyrite : FeS2) อยู่มาก


ดังนั้น เมื่อดินแห้ง สารไพไรท์จะทําปฏิกิริยากับอากาศ ปลดปล่อยกรดกํามะถันออกมา ทําให้ดินแปรสภาพเป็นดินกรดจัดหรือเปรี้ยวจัด ศูนย์ศึกษาการ พัฒนาพิกุลทองอันเนื่องมาจากพระราชดําริ จึงได้ดําเนินการสนองพระราชดําริโครงการ " แกล้งดิน " เพื่อศึกษาการเปลี่ยนแปลงความเป็นกรดของดิน เริ่มจากวิธีการ " แกล้งดินให้เปรี้ยว " คือทําให้ดินแห้งและเปียกสลับกันไป เพื่อเร่งปฏิกิริยาทางเคมีของดิน ซึ่งจะไปกระตุ้นให้สารไพไรท์ทําปฏิกิริยากับ ออกซิเจนในอากาศ ปลดปล่อยกรดกํามะถันออกมา ทําให้ดินเป็นกรดจัดจนถึงขั้น " แกล้งดินให้เปรี้ยวสุดขีด " จนกระทั่งถึงจุดที่พืชไม่สามารถเจริญงอก งามได้ จากนั้นจงึ หาวิธีการปรับปรุงดินดังกล่าวให้สามารถปลูกพืชได้ วิธีการแก้ไขปัญหาดินเปรี้ยวจัดตามแนวพระราชดําริ คือควบคมุ ระดับน้ําใต้ดิน เพื่อ ป้องกันการเกิดกรดกํามะถัน จึงต้องควบคุมน้ําใต้ดินให้อยู่เหนือชั้นดินเลนที่มีสารไพไรท์อยู่ เพื่อมิให้สารไพไรท์ทําปฏิกิริยากับออกซิเจนหรือถูกออกซิไดซ์

จากการทดลอง ทําให้พบว่า วิธีการปรับปรุงดินตามสภาพของดินและความเหมาะสม
มีอยู่ ๓ วิธีการด้วยกัน คือ
• ใช้น้ําชะล้างความเป็นกรดเพราะเมื่อดินหายเปรี้ยวจะมีค่าpHเพิ่มขึ้นหากใช้ปุ๋ยไนโตรเจน และฟอสเฟต ก็จะทําให้พืชให้ผลผลิตได้
• ใช้ปูนมาร์ลผสมคลุกเคล้ากับหน้าดิน • ใช้ทั้งสองวิธีข้างต้นผสมกัน



ทฤษฎี "แกล้งดิน" อันเนื่องมาจากพระราชดําริ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จ ฯ ไปทรงเยี่ยมราษฎรในเขตจังหวัดนราธิวาสในปี พ.ศ. 2524 ทรงพบว่าหลังจากมีการชักน้ําออกจากพื้นที่พรุเพื่อจะ ได้มีพื้นที่ ใช้ทําการเกษตรและเป็นการบรรเทาอุทกภัยนั้น ปรากฎว่าดินในพื้นที่พรุแปรสภาพเป็นดินเปรี้ยวจัด ทําให้เพาะปลูกไม่ได้ผล จึงมีพระราชดําริ ให้ส่วนราชการต่าง ๆ พิจารณาหาแนวทางในการปรับปรุงพื้นที่พรุที่มีน้ําแช่ขังตลอดปีให้เกิดประโยชน์ในทางการเกษตรมากที่สุดและให้คาํ นึงถึง ผลกระทบต่อระบบนิเวศน์ด้วย การแปรสภาพ เป็นดินเปรี้ยวจัด เนื่องจากดินมีลักษณะเป็นเศษอินทรีย์วัตถุหรือซากพืชเน่าเปื่อยอยู่ข้างบนและมีระดับ ความลึก 1-2 เมตร เป็นดินเลนสีเทาปนน้ําเงิน ซึ่งมีสารประกอบกํามะถัน ที่เรียกว่า สารประกอบไพไรท์ (pyrite : FeS2) อยู่มาก ดังนั้น เมื่อดินแห้ง สาร ไพไรท์จะทําปฏิกิริยากับอากาศปลดปล่อยกรดกํามะถันออกมา ทําให้ดินแปรสภาพเป็นดินกรดจัดหรือเปรี้ยวจัด ศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทองอันเนื่อง มาจากพระราชดําริ จึงได้ดําเนินการสนองพระราชดําริโครงการ "แกล้งดิน" เพื่อศึกษาการเปลี่ยนแปลงความเป็นกรดของดิน เริ่มจากวิธีการ "แกล้งดินให้ เปรี้ยว" ด้วยการทําให้ดินแห้งและเปียกสลับกันไป เพื่อเร่งปฏิกิริยาทางเคมีของดิน ซึ่งจะไป กระตุ้นให้สารไพไรท์ทําปฏิกิริยากับออกซิเจนในอากาศ ปลดปล่อยกรดกํามะถันออกมา ทําให้ดินเป็นกรดจัดจนถึงขั้น "แกล้งดินให้เปรี้ยวสุดขีด" จนกระทั่งถึงจุดที่พืช ไม่สามารถเจริญงอกงามได้ จากนั้นจงึ หา วิธีการปรับปรุงดินดังกล่าวให้สามารถปลูกพืชได้ วิธีการแก้ไขปัญหาดินเปรี้ยวจัดตามแนวพระราชดําริ มีดังนี้
1.ควบคุมระดับน้ําใต้ดินเพื่อป้องกันการเกิดกรดกํามะถันจึงต้องควบคุมน้ําใต้ดินให้อยู่เหนือชั้นดินเลนที่มีสารไพไรท์อยู่เพื่อมิให้สารไพไรท์ทําปฏกิิริยา กับออกซิเจนหรือถูกออกซิไดซ์
2.การปรับปรุงดิน มี 3 วิธีการ ตามสภาพของดินและความเหมาะสม คือ
• ใช้น้ําชะล้างความเป็นกรด เมื่อล้างดินเปรี้ยวให้คลายลงแล้วดินจะมีค่า pH เพิ่มขึ้นอีกทั้งสารละลายเหล็กและอลูมินั่มที่เป็นพิษเจือจางลงจนทํา ให้พืชสามารถเจริญเติบโตได้ดี โดยเฉพาะถ้าหากใช้ปุ๋ยไนโตรเจนและฟอสเฟตก็สามารถให้ผลผลิตได้
• การใช้ปูนผสมคลุกเคล้ากับหน้าดิน เช่น ปูนมาร์ล ปูนฝุ่นซึ่งปริมาณของปูนที่ใช้ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของความเป็นกรดของดิน
• การใช้ปูนควบคู่ไปกับการใช้น้ําชะล้างและควบคุมระดับน้ําใต้ดิน เป็นวิธีการที่สมบูรณ์ที่สุดและใช้ได้ผลมากในพื้นที่ซึ่งดินเป็นกรดจัดรุนแรง
และถูกปล่อยทิ้งเป็นเวลานาน
3. การปรับสภาพพื้นที่ มีอยู่ 2 วิธี คือ
• การปรับระดับผิวหน้าดิน ด้วยวิธีการ คือ
o ปรับระดับผิวหน้าดินให้มีความลาดเอียง เพื่อให้น้ําไหลไปสู่คลองระบายน้ํา
o ตกแต่งแปลงนาและคันนาใหม่ เพื่อให้เก็บกักน้ําและระบายน้ําออกไปได้
• การยกร่องปลูกพืช สําหรับพืชไร่ พืชผัก ไม้ผล หรือไม้ยืนต้นที่ให้ผลตอบแทนสูง ถ้าให้ได้ผลต้องมีแหล่งน้ําชลประทานเพื่อขังและถ่ายเทน้ําได้ เมื่อน้ําในร่องเป็นกรดจัด การยกร่องปลูกพืชยืนต้นหรือไม้ผล ต้องคํานึงถึงการเกิดน้ําท่วมในพื้นที่นั้น หากมีโอกาสเสี่ยงสูงก็ไม่ควรทํา หรืออาจ ยกร่องแบบเตี้ย ๆ พืชที่ปลูกเปลี่ยนเป็นพืชล้มลุกหรือพืชผัก และควรปลูกเป็นพืชหมุนเวียนกับข้าวได้
วิธีการปรับปรุงดินเปรี้ยวจัดเพื่อการเกษตร
1. เพื่อใช้ปลูกข้าว
• เขตชลประทาน
- ดินที่มีค่า pH น้อยกว่า 4.0 ใช้ปูนอัตรา 1.5 ตัน/ไร่ - ดินที่มีค่า pH ระหว่าง 4.0-4.5 ใช้ในอัตรา 1 ตัน/ไร่
• เขตเกษตรน้ําฝน
- ดินที่มีค่า pH น้อยกว่า 4.0 ใช้ปูนในอัตรา 2.5 ตัน/ไร่ - ดินที่มีค่า pH ระหว่าง 4.0-4.5 ใช้ปูนอัตรา 1.5 ตัน/ไร่
• ขั้นตอนการปรับปรุงดินเปรี้ยว
หลังจากหว่าน
0/5000
จาก: -
เป็น: -
ผลลัพธ์ (อังกฤษ) 1: [สำเนา]
คัดลอก!
Teased clay Land faking of his Majesty King Bhumibol Adulyadej on the soil sour or acidic soils which contain water in prisons until Chemical reactivity make soil acidic to most, then drain and refresh the soil with lime until the soil conditions are good enough to be used in cultivation.หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เสด็จฯ เยี่ยมราษฎรในเขตจังหวัดนราธิวาส เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๔ ทรงพบว่า ดินในพื้นที่พรุที่มีการชักน้ําออก เพื่อ จะนําที่ดินมาใช้ทําการเกษตรนั้น แปรสภาพเป็นดินเปรี้ยวจัด ทําให้เพาะปลูกไม่ได้ผล จึงมีพระราชดําริให้ส่วนราชการต่าง ๆ พิจารณาหาแนวทางในการ ปรับปรุงพื้นที่พรุที่มีน้ําแช่ขังตลอดปีให้เกิด ประโยชน์ในทางการเกษตรมากที่สุด และให้คํานึงถึงผลกระทบต่อระบบนิเวศน์ด้วย การแปรสภาพเป็นดิน เปรี้ยวจัด เนื่องจากดินมีลักษณะเป็นเศษอินทรียวัตถุ หรือซากพืชเน่าเปื่อยอยู่ข้างบน และมีระดับความลึก ๑ - ๒ เมตร เป็นดินเลนสีเทาปนน้ําเงิน ซึ่งมี สารประกอบกํามะถัน ที่เรียกว่า สารประกอบไพไรท์ (Pyrite : FeS2) อยู่มาก ดังนั้น เมื่อดินแห้ง สารไพไรท์จะทําปฏิกิริยากับอากาศ ปลดปล่อยกรดกํามะถันออกมา ทําให้ดินแปรสภาพเป็นดินกรดจัดหรือเปรี้ยวจัด ศูนย์ศึกษาการ พัฒนาพิกุลทองอันเนื่องมาจากพระราชดําริ จึงได้ดําเนินการสนองพระราชดําริโครงการ " แกล้งดิน " เพื่อศึกษาการเปลี่ยนแปลงความเป็นกรดของดิน เริ่มจากวิธีการ " แกล้งดินให้เปรี้ยว " คือทําให้ดินแห้งและเปียกสลับกันไป เพื่อเร่งปฏิกิริยาทางเคมีของดิน ซึ่งจะไปกระตุ้นให้สารไพไรท์ทําปฏิกิริยากับ ออกซิเจนในอากาศ ปลดปล่อยกรดกํามะถันออกมา ทําให้ดินเป็นกรดจัดจนถึงขั้น " แกล้งดินให้เปรี้ยวสุดขีด " จนกระทั่งถึงจุดที่พืชไม่สามารถเจริญงอก งามได้ จากนั้นจงึ หาวิธีการปรับปรุงดินดังกล่าวให้สามารถปลูกพืชได้ วิธีการแก้ไขปัญหาดินเปรี้ยวจัดตามแนวพระราชดําริ คือควบคมุ ระดับน้ําใต้ดิน เพื่อ ป้องกันการเกิดกรดกํามะถัน จึงต้องควบคุมน้ําใต้ดินให้อยู่เหนือชั้นดินเลนที่มีสารไพไรท์อยู่ เพื่อมิให้สารไพไรท์ทําปฏิกิริยากับออกซิเจนหรือถูกออกซิไดซ์ จากการทดลอง ทําให้พบว่า วิธีการปรับปรุงดินตามสภาพของดินและความเหมาะสม มีอยู่ ๓ วิธีการด้วยกัน คือ• ใช้น้ําชะล้างความเป็นกรดเพราะเมื่อดินหายเปรี้ยวจะมีค่าpHเพิ่มขึ้นหากใช้ปุ๋ยไนโตรเจน และฟอสเฟต ก็จะทําให้พืชให้ผลผลิตได้• ใช้ปูนมาร์ลผสมคลุกเคล้ากับหน้าดิน • ใช้ทั้งสองวิธีข้างต้นผสมกัน ทฤษฎี "แกล้งดิน" อันเนื่องมาจากพระราชดําริพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จ ฯ ไปทรงเยี่ยมราษฎรในเขตจังหวัดนราธิวาสในปี พ.ศ. 2524 ทรงพบว่าหลังจากมีการชักน้ําออกจากพื้นที่พรุเพื่อจะ ได้มีพื้นที่ ใช้ทําการเกษตรและเป็นการบรรเทาอุทกภัยนั้น ปรากฎว่าดินในพื้นที่พรุแปรสภาพเป็นดินเปรี้ยวจัด ทําให้เพาะปลูกไม่ได้ผล จึงมีพระราชดําริ ให้ส่วนราชการต่าง ๆ พิจารณาหาแนวทางในการปรับปรุงพื้นที่พรุที่มีน้ําแช่ขังตลอดปีให้เกิดประโยชน์ในทางการเกษตรมากที่สุดและให้คาํ นึงถึง ผลกระทบต่อระบบนิเวศน์ด้วย การแปรสภาพ เป็นดินเปรี้ยวจัด เนื่องจากดินมีลักษณะเป็นเศษอินทรีย์วัตถุหรือซากพืชเน่าเปื่อยอยู่ข้างบนและมีระดับ ความลึก 1-2 เมตร เป็นดินเลนสีเทาปนน้ําเงิน ซึ่งมีสารประกอบกํามะถัน ที่เรียกว่า สารประกอบไพไรท์ (pyrite : FeS2) อยู่มาก ดังนั้น เมื่อดินแห้ง สาร ไพไรท์จะทําปฏิกิริยากับอากาศปลดปล่อยกรดกํามะถันออกมา ทําให้ดินแปรสภาพเป็นดินกรดจัดหรือเปรี้ยวจัด ศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทองอันเนื่อง มาจากพระราชดําริ จึงได้ดําเนินการสนองพระราชดําริโครงการ "แกล้งดิน" เพื่อศึกษาการเปลี่ยนแปลงความเป็นกรดของดิน เริ่มจากวิธีการ "แกล้งดินให้ เปรี้ยว" ด้วยการทําให้ดินแห้งและเปียกสลับกันไป เพื่อเร่งปฏิกิริยาทางเคมีของดิน ซึ่งจะไป กระตุ้นให้สารไพไรท์ทําปฏิกิริยากับออกซิเจนในอากาศ ปลดปล่อยกรดกํามะถันออกมา ทําให้ดินเป็นกรดจัดจนถึงขั้น "แกล้งดินให้เปรี้ยวสุดขีด" จนกระทั่งถึงจุดที่พืช ไม่สามารถเจริญงอกงามได้ จากนั้นจงึ หา วิธีการปรับปรุงดินดังกล่าวให้สามารถปลูกพืชได้ วิธีการแก้ไขปัญหาดินเปรี้ยวจัดตามแนวพระราชดําริ มีดังนี้1.ควบคุมระดับน้ําใต้ดินเพื่อป้องกันการเกิดกรดกํามะถันจึงต้องควบคุมน้ําใต้ดินให้อยู่เหนือชั้นดินเลนที่มีสารไพไรท์อยู่เพื่อมิให้สารไพไรท์ทําปฏกิิริยา กับออกซิเจนหรือถูกออกซิไดซ์2.การปรับปรุงดิน มี 3 วิธีการ ตามสภาพของดินและความเหมาะสม คือ• ใช้น้ําชะล้างความเป็นกรด เมื่อล้างดินเปรี้ยวให้คลายลงแล้วดินจะมีค่า pH เพิ่มขึ้นอีกทั้งสารละลายเหล็กและอลูมินั่มที่เป็นพิษเจือจางลงจนทํา ให้พืชสามารถเจริญเติบโตได้ดี โดยเฉพาะถ้าหากใช้ปุ๋ยไนโตรเจนและฟอสเฟตก็สามารถให้ผลผลิตได้• การใช้ปูนผสมคลุกเคล้ากับหน้าดิน เช่น ปูนมาร์ล ปูนฝุ่นซึ่งปริมาณของปูนที่ใช้ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของความเป็นกรดของดิน• การใช้ปูนควบคู่ไปกับการใช้น้ําชะล้างและควบคุมระดับน้ําใต้ดิน เป็นวิธีการที่สมบูรณ์ที่สุดและใช้ได้ผลมากในพื้นที่ซึ่งดินเป็นกรดจัดรุนแรง
และถูกปล่อยทิ้งเป็นเวลานาน
3. การปรับสภาพพื้นที่ มีอยู่ 2 วิธี คือ
• การปรับระดับผิวหน้าดิน ด้วยวิธีการ คือ
o ปรับระดับผิวหน้าดินให้มีความลาดเอียง เพื่อให้น้ําไหลไปสู่คลองระบายน้ํา
o ตกแต่งแปลงนาและคันนาใหม่ เพื่อให้เก็บกักน้ําและระบายน้ําออกไปได้
• การยกร่องปลูกพืช สําหรับพืชไร่ พืชผัก ไม้ผล หรือไม้ยืนต้นที่ให้ผลตอบแทนสูง ถ้าให้ได้ผลต้องมีแหล่งน้ําชลประทานเพื่อขังและถ่ายเทน้ําได้ เมื่อน้ําในร่องเป็นกรดจัด การยกร่องปลูกพืชยืนต้นหรือไม้ผล ต้องคํานึงถึงการเกิดน้ําท่วมในพื้นที่นั้น หากมีโอกาสเสี่ยงสูงก็ไม่ควรทํา หรืออาจ ยกร่องแบบเตี้ย ๆ พืชที่ปลูกเปลี่ยนเป็นพืชล้มลุกหรือพืชผัก และควรปลูกเป็นพืชหมุนเวียนกับข้าวได้
วิธีการปรับปรุงดินเปรี้ยวจัดเพื่อการเกษตร
1. เพื่อใช้ปลูกข้าว
• เขตชลประทาน
- ดินที่มีค่า pH น้อยกว่า 4.0 ใช้ปูนอัตรา 1.5 ตัน/ไร่ - ดินที่มีค่า pH ระหว่าง 4.0-4.5 ใช้ในอัตรา 1 ตัน/ไร่
• เขตเกษตรน้ําฝน
- ดินที่มีค่า pH น้อยกว่า 4.0 ใช้ปูนในอัตรา 2.5 ตัน/ไร่ - ดินที่มีค่า pH ระหว่าง 4.0-4.5 ใช้ปูนอัตรา 1.5 ตัน/ไร่
• ขั้นตอนการปรับปรุงดินเปรี้ยว
หลังจากหว่าน
การแปล กรุณารอสักครู่..
ผลลัพธ์ (อังกฤษ) 3:[สำเนา]
คัดลอก!
แกล้งดิน.แกล้งดิน is the initiative of King Bhumibol Adulyadej. About solving the acid or acid soil by submerged in the. The area until a chemical reaction to make acid soils, to the end, then drain out and adjust the restoration of soil with lime Until the soil is good enough to use in cultivation.After his majesty majesty, great people in Narathiwat Province, when the ๒๕๒๔ is found in peat swamp area with soil, the water out. To bring the land to make agriculture is transformed into a acid soils, make farming work has the initiative to the government. . consider find ways. Improve the peat swamp area with water, soak in the year to occur. Used in agriculture as much as possible. And the consideration of impacts on ecology, soil reclamation is sour due to soil organic matter characteristics of scrap Litter decomposition or above, level depth 1-2 meters Lane from soil grey blue, which is a compound sulfur. " Compound pyrite (Pyrite: FeS2).So when the soil is dry, of pyrite will react with air release of sulfuric acid. Make the soil into soil acidity or sour research center to develop political due from the rabbis initiatives. It has taken the initiative to meet the project "แกล้งดิน" to study the change of acidity soil, starting from how to "แกล้งดิน to sour. "Make the soil dry and wet times. To accelerate chemical reactions of the soil. Which will encourage of PI ไรท์ท water reacts with oxygen in the air, free sulfuric acid. Make an acid soil till แกล้งดิน step "sour" until the point of extreme plant could not grow growing beauty, then find ways to improve the จงึ soils to crops. How to solve the problem of acid sulfate soil along the initiative's control, groundwater levels to prevent the sulfuric acid. Have control over soil Underground Water Lane containing pyrite,.
การแปล กรุณารอสักครู่..
 
ภาษาอื่น ๆ
การสนับสนุนเครื่องมือแปลภาษา: กรีก, กันนาดา, กาลิเชียน, คลิงออน, คอร์สิกา, คาซัค, คาตาลัน, คินยารวันดา, คีร์กิซ, คุชราต, จอร์เจีย, จีน, จีนดั้งเดิม, ชวา, ชิเชวา, ซามัว, ซีบัวโน, ซุนดา, ซูลู, ญี่ปุ่น, ดัตช์, ตรวจหาภาษา, ตุรกี, ทมิฬ, ทาจิก, ทาทาร์, นอร์เวย์, บอสเนีย, บัลแกเรีย, บาสก์, ปัญจาป, ฝรั่งเศส, พาชตู, ฟริเชียน, ฟินแลนด์, ฟิลิปปินส์, ภาษาอินโดนีเซี, มองโกเลีย, มัลทีส, มาซีโดเนีย, มาราฐี, มาลากาซี, มาลายาลัม, มาเลย์, ม้ง, ยิดดิช, ยูเครน, รัสเซีย, ละติน, ลักเซมเบิร์ก, ลัตเวีย, ลาว, ลิทัวเนีย, สวาฮิลี, สวีเดน, สิงหล, สินธี, สเปน, สโลวัก, สโลวีเนีย, อังกฤษ, อัมฮาริก, อาร์เซอร์ไบจัน, อาร์เมเนีย, อาหรับ, อิกโบ, อิตาลี, อุยกูร์, อุสเบกิสถาน, อูรดู, ฮังการี, ฮัวซา, ฮาวาย, ฮินดี, ฮีบรู, เกลิกสกอต, เกาหลี, เขมร, เคิร์ด, เช็ก, เซอร์เบียน, เซโซโท, เดนมาร์ก, เตลูกู, เติร์กเมน, เนปาล, เบงกอล, เบลารุส, เปอร์เซีย, เมารี, เมียนมา (พม่า), เยอรมัน, เวลส์, เวียดนาม, เอสเปอแรนโต, เอสโทเนีย, เฮติครีโอล, แอฟริกา, แอลเบเนีย, โคซา, โครเอเชีย, โชนา, โซมาลี, โปรตุเกส, โปแลนด์, โยรูบา, โรมาเนีย, โอเดีย (โอริยา), ไทย, ไอซ์แลนด์, ไอร์แลนด์, การแปลภาษา.

Copyright ©2025 I Love Translation. All reserved.

E-mail: