Mill 6 (ฮงเซี่ Yong Heng).Located right beside Pak phanang River side of Pak Khlong (Canal, SI) root shell, but the company's Thailand rice in the North-South issue (issue-southern Thailand rice company, adjacent to the bridge over the river Pak phanang) The founder is Mr. Siang Kodikun. His son, Khun prom survey NAI Siang graduated from city of Penang and a passion for the mill, 7 Ju is later married to daughter Kim Fong. Luxury 50 wagons per day, sana, capacity, workers over 30 people. Later, Mr. chokchai knot wind Operates up to 2500 (1957) stop inheritance Affairs.7 mill (mill pinch Seng Chan)Located on the East side of Pak phanang River House on some grass. The first age, called the mill leading Fong Tai-Hai nam is of Chinese (Hainan Island) when the next sale, shop owner Affairs 2465 (1922) Fang. The people of Singapore Rename a mill and sell, Hasan seng pheng Khun Ratana glorious green (Charleston pinch Seng), the son of Mr. Buanratnarak Yutti joint venture name. Later, she married Mr. CHAN phring Yutti (co ว้จังพิ้ง). The glorious daughter of ว้เซี่ Ratana Rak Yong hills Phuket Golf, is a sister of Mr. bunch (code ว้จังพวง) sucha grow. The owner of the mill 1. This stops the mill joint venture c. 2505 (1962) and their other ventures that have been moved to Nakhon SI thammarat, but the area also has a mill and the mill chimney administrators apparently located Pak phanang-Pak phraek. Row houses on some grass.8 mill (mill furnace Seng)Location Left side of Pak phanang River near the entrance to floodgate uthok video phat Prasit. The East side. Along the road, Pak phanang-Pak phraek. Distance of approximately 1 km, 7 mill.ผู้ก่อตั้งยุคแรก คือ จีนโคว้ ฮักหงี เป็นโรงสีแห่งแรกในภาคใต้สมัย รัชกาลที่ 5 และรัชกาลที่ 5 ได้เสด็จมาทรงเป็นประธานในพิธีเปิดกิจการโรงสี เมื่อ พ.ศ. 2447 เนื่องจากจีนโคว้ฮักหงี ได้กู้เงินจากพระคลังข้างที่ ( ปัจจุบันคือ สำนักทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์) ทำสัญญากัน 25 ปี จดทะเบียนชื่อว่า “ โรงสีเตาเส็ง” มีน้องและหลานมาช่วยงานหลายคนเช่น โคว้ เป็งจือ ต่อมาได้บรรดาศักดิ์ เป็น ขุนนครกิจจีนนิเทศ (ต้นสกุลโรจนกิจ) อีกคนหนึ่งคือ โคว้เซี่ยงงี้(ต้นสกุลศิริธรรมวัฒน์) เป็นบุตรชายคนโตของโคว้ฮักหงี คนที่สามชื่อ โคว้ เสี่ยง ห่าว (ต้นสกุล สุชาโต) เป็นน้องชายของ โคว้เซี่ยงงี่ คนที่ 4 ชื่อ โคว้ เซี่ยงหยู ( ต้นสกุล โฆษิตสกุล) เป็นน้องโคว้เสี่ยงห่าวยุคที่ 2 พ.ศ. 2471 ผู้ดำเนินกิจการขายให้ชาวจีนสิงคโปร์ชื่อ โฮฮอง และดำเนินกิจการโดยเจ้าหน้าที่ คนงานเดิมแต่จ้างหลงจู้ใหม่มาบริหาร ทำให้ขาดทุนและล้มละลาย มีนายลิ้มซุ่นหวาน ดูแลกิจการ จนถูกธนาคารสยามกัมมาจล เข้ายึดทรัพย์ใน พ.ศ. 2475เพราะไม่มีเงินชำระหนี้ยุคที่ 3 พ.ศ. 2478 นางกอบกาญจน์ ชัยสวัสดิ์ ชาวเมืองกาญจนดิษฐ์ ได้มาหาซื้อหม้อน้ำเครื่องจักรไอน้ำ และสนใจโรงสี จึงเจรจาขอซื้อจากธนาคารสยามกัมมาจล ธนาคารให้ในราคาถูกเพียง 5,000 บาท(ชาวปากพนังไม่มีใครทราบเรื่องนี้ ) ซึ่งถือว่าราคาถูกมาก นางกอบกาญจน์ ได้ฟื้นกิจการโรงสีขึ้นมาอีกครั้งโดยจดทะเบียนตั้งชื่อใหม่ว่า “ โรงสีกอบกาญจน์” คนปากพนังเรียกว่าโรงสีแม่ครู เนื่องจากนางกอบกาญจน์ รับราชการเป็นครูด้วย และเป็นที่รักของคนละแวกนั้น ในระยะนี้มีนายกิ้มซุ่น เป็นหลงจู๊ การบริหารเป็นไปด้วยดี มีกำไร ประกอบกับเครื่องจักรมีกำลังสูงจึงเปิดกิจการโรงน้ำแข็งควบคู่กันไปด้วย ( ปัจจุบันยังมีร่องรอยห้องที่ผลิตน้ำแข็งให้เห็น) ต่อมาได้ดำเนินกิจการเรือยนต์โดยสาร ชื่อ เรือท่าทอง ด้วย มีเรือท่าทอง 2 และท่าทอง3 ( เรือท่าทอง 1 อยู่ที่กาญจนดิษฐ์ บ้านเดิมของนางกอบกาญจน์)ครั้นสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 โรงสีทุกโรงต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของบริษัทข้าวไทย ปักษ์ใต้ ซึ่งรัฐบาลเป็นหุ้นส่วน ข้าวสารที่สีได้ในลุ่มน้ำปากพนังทั้งหมดต้องขายให้บริษัทข้าวไทยปักษ์ใต้แห่งเดียว พ.ศ. 2489 บริษัทข้าวไทยหยุดกิจการ โรงสีกอบกาญจน์ จึงหยุดไปด้วยยุคที่ 4 พ.ศ. 2491 หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สหกรณ์จังหวัดสุราษฏร์ธานีมาเช่าดำเนินกิจการต่อ ในชื่อเดิม ในระยะนี้โรงสี 8 รุ่งเรืองมากเพราะมีทุนรับซื้อไม่จำกัด แม้ประกาศห้ามซื้อขายข้ามเขตสมัยสงครามโลกยังมีอยู่ แต่สหกรณ์ที่ดำเนินการอยู่ในรูปกึ่งรัฐกึ่งเอกชน จึงได้รับสิทธิพิเศษ ขายข้าวข้ามเขตได้ ในขณะที่โรงสีอื่นทำไม่ได้ยุคที่ 5 พ.ศ. 2495 รัฐบาลผ่อนปรนให้ขายข้าวข้ามเขตได้ มีการแข่งขันกันอีกครั้งโรงสีหลายโรงกลับมาดำเนินกิจการอีก ประกอบกับมีโรงสีข้าวเครื่องยนต์ขนาดเล็กเกิดขึ้นในหมู่บ้านมากมาย ข้าวที่มาขายโรงสีไฟจึงน้อยลง โรงสีขนาดเล็กเคยเป็นพ่อค้าคนกลางที่นำข้าวมาขายโรงสีไฟ ก็รับซื้อเสียเอง หรือบริการสีให้ฟรี ๆ เอาแต่แกลบและรำ ทำให้โรงสีไฟแข่งขันไม่ได้ เพราะโรงสีไฟต้องลงทุนสูง และต้องมีวัตถุดิบป้อนตลอดเวลาจึงจะคุ้มทุน ในขณะที่โรงสีเครื่องยนต์ หยุดสีก็ได้ไม่ต้องลงทุนมาก โรงสีไฟจึงหยุดกิจการไปโดยปริยาย
โรงสี 9 โรงสีง่วนไถ่
ที่ตั้ง ตั้งอยู่ฝั่งขวาแม่น้ำปากพนัง ตรงกันข้ามกับโรงสี 8 ( ปัจจุบันอยู่ในพื้นที่ประตูระบายน้ำระหว่างคลองเก่า กับคลองใหม่ที่ขุดเป็นทางลัดเพื่อสร้างประตูระบายน้ำอุทกวิภาชน์ประสิทธิ์ )
เจ้าของ คือ โคว้ง่วนไถ่ ชาวจีนแต้จิ๋ว เมืองเดียวกับโคว้ฮักหงี ตอนแรกจะมาซื้อกิจการโรงสี 8 แต่ตกลงราคากันไม่ได้จึงซื้อที่ฝั่งตรงกันข้ามตั้งโรงสี 9 ในพ.ศ. 2480 ให้บุตรคนที่ 7 ชื่อ โคว้หยิกซ้อเป็นผู้ดำเนินกิจการกำลังผลิต 50-70 เกวียนข้าวเปลือก มีคนงาน 40 คน โรงสีนี้ทุนเยอะจึงซื้อข้าวเงินสด กลายเป็นที่พึงของโรงสีอื่น เช่นโรงสีเล็ก ๆ ซื้อข้าวสินเชื่อมาก่อนแล้วมาขายต่อให้โรงสี 9
พ.ศ. 2496-2503 ได้ขยายกิจการเช่าโรงสี2 และโรงสีที่ปากแพรกมาดำเนินกิจการด้วยจน พ.ศ. 2505 เกิดมหาวาตภัยเสียหายมาก จึงหยุดกิจการไป
โรงสี 10 ( มี 2 โรง คือโรงสีแม่หนูพิน ที่บางไทร และโรงสีโกพงศ์ที่ปากแพรก)
โรงสี แม่หนูพิน อยู่ฝั่งขวาแม่น้ำปากพนัง บริเวณปากบางไทร เป็นของกำนันทิม ศรีเจริญ พ่อนางหนูพิน อรุณสกุล ทายาทปัจจุบัน คือ นางพิศวง รัฐษปานะ กิจการโรงสีเลิกไปนานแล้ว ครอบครัวอรุณสกุลหันมาค้าขายเครื่องเหล็ก เครื่องยนต์ เครื่องเรือในตลาดปากพนัง แต่ปล่องโรงสีไฟยังอนุรักษ์ไว้ตามกระแสรับสั่งของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ปัจจุบันถ้าเดินทางไปอำเภอเชียรใหญ่เมื่อ ถึง สะพานบางไทร จะมองเห็น ปล่องโรงสี 10 และยอดพระธาตุวัดสระน้ำขาว อยู่ใกล้ ๆ กัน
โรงสีโกพงศ์ ( โรงสีไฟวพงษ์)
ตั้งอยู่ฝั่งขวาของแม่น้ำแต
การแปล กรุณารอสักครู่..
