หนึ่งในปัญหาความรุนแรงคือ ปัญหาการถูกรังแกในโรงเรียน ซึ่งสามารถพบได้ทุกช่วงวัยของนักเรียน ทุกที่และทุกเวลา ดังกรณีของนักเรียนชั้นอนุบาล 3 ไปโรงเรียนอนุบาล กลับมาพร้อมรอยฟันกัดเป็นวงที่แขน เด็กที่ถูกกัดเป็นประจำก็จะมี 2-3 คนคุณครูต้องประกบนักกัดประจำห้องไว้เสมอ อย่าให้เผลอและคุณครูต้องเลี่ยงบรรยากาศที่จะให้กัดได้ เช่น นั่งเล่นใกล้ๆกัน หรือ มักจะกัดเพื่อนในเวลานอนหรือเวลาใกล้หิว(จันฑิตา พฤกษานานนท์,2554) หรือ กรณีการถูกรังแกของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาที่ผู้เขียนได้เล่าประสบการณ์ขณะเรียนอยู่ที่โรงเรียน "มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ที่จะเดินผ่านสิ่งเหล่านี้มาเพื่อจะอยู่รอดในวันต่อๆไปให้ได้ ผมยังไม่อาการหนักขนาดร้องไห้โหยหวนอยากกลับบ้านในวันแรกที่นอนในโรงเรียนประจำ แต่ก็ต้องยอมรับ ผมหัวหดไปเลยเมื่อเจอรุ่นพี่แกล้ง ทั้งขู่ ทั้งด่า และ อาจลงไม้ลงมือเล็กน้อยให้เด็กม.1 อย่างพวกผมอยู่ในโอวาท ก็มักจะโดนรุ่นพี่เรียกไปอบรมเดี่ยวซึ่งสภาพกลับมาก็อาการสาหัสไม่น้อย ผมไม่เข้าใจว่าทำไมต้องยอม ทำไมเราไม่ฟ้องครู แต่ตอนนี้ผมได้คำตอบว่าถ้าฟ้องครู รุ่นพี่อาจโดนชำระโทษ แต่เมื่ออยู่ลับหูหลับตาครูไปแล้วล่ะผมอาจโดนเป็นสองเท่าที่ครูทำโทษพวกเขาไปก็ได้ แล้วไม่นานเมื่อผมได้เป็นรุ่นพี่ ผมก็อาจทำอย่างนั้นกับรุ่นน้อง วนเวียนเป็นวัฎจักร ใครอาจเรียกว่าระบบโซตัว แต่ผมเรียกมันว่า วงจรอุบาทว์ ตลอดเวลาที่เรียนชั้น ม.1 ผมถูกรุ่นพี่แกล้ง ไหนจะถูกเพื่อนบอยคอต ไม่ยอมเสวนาหรือสุงสิง เพราะหากมายุ่งกับผมมากก็จะพลอยทำให้รุ่นพี่ยิ่งเพ่งเล็งหรือพลอยโดนแกล้งไปด้วย หลังจากความเหงาและเจ็บปวดมาถึงขีดสุด ผมเริ่มเรียนรู้ว่าผมควรทำอย่างไร ผมจึงจะไม่เป็นตัวฝ่ายถูกแกล้ง หรือเจ็บแต่เพียงฝ่ายเดียว ผมยึดหลักทฤษฎีง่ายๆ คือ เมื่อไม่อยากเป็นฝ่ายถูกล่า ก็ต้องออกล่า" (มัชชะ,2550) แม้กระทั่งต่างประเทศก็ยังประสบปัญหาการถูกรังแกในโรงเรียน ดังตัวอย่าง เช่น