อะไรคือความสมดุลของชีวิต
พระอาจารย์วรวัฒน์นิยามไว้ว่า ‘ความสมดุลของชีวิต’ หมายถึง ความเท่าเทียมหรือความเสมอภาคซึ่งในขณะเดียวกันก็มีธรรมะอยู่ 3 ข้อที่คอยขวางกั้นไม่ให้ชีวิตมีความสมดุลและทำให้คนเราไม่มีความสุข อันได้แก่
ตัณหา” ความอยากได้ อยากมี อยากเป็น อยากรวย ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดจากตัณหาทั้งนั้น โดยหากจะกำจัดตัณหาต้องรู้จักยินดีในสิ่งที่ตนมี พอใจในสิ่งที่ตนหามาได้ และรู้จักความพอเพียงเสียก่อน
“มานะ” ความถือตัว “ทิฐิ” ความคิดความเห็น มีอยู่ 2 แบบ ได้แก่ สัมมาทิฐิ คือ ความเห็นที่ถูกต้อง ความเชื่อมั่นที่ดี ส่วนมิจฉาทิฐิ คือความเห็นที่ไม่ถูกต้อง บางครั้งในที่นี้ก็หมายถึงเป็นความคิดเห็นแบบซ้ำๆ เดิมๆความเชื่อมั่นผิดๆ ที่ทำให้เกิดความทุกข์ขึ้นมาได้ในชีวิตนั่นเอง
ทำอย่างไรให้ชีวิตมีความสุข?พระอาจารย์วรวัฒน์แนะหลักธรรม 5 อ. ดังต่อไปนี้1อ. เอารอยยิ้มมาล้างหน้า อย่าหน้าบูดหน้าบึ้ง หมั่นยิ้มเข้าไว้ โดยคำว่า ‘หน้า’ ในที่นี้หมายรวมไปถึงหน้าที่ด้วย เช่นเดียวกับคำสอนของหลวงพ่อปัญญา นันทภิกขุ ท่านกล่าวไว้ว่าหน้านอกบอกความงาม หน้าในบอกความดี หน้าที่บอกความสามารถดังนั้นหน้านอกแต่งให้พอดี หน้าในและหน้าที่แต่งให้มากๆ2อ. เอามธุรสวาจามาล้างปาก ในเรื่องของคำพูด ต้องหัดเป็นคนพูดจาไพเราะอ่อนหวาน เพราะบางคนชอบเอาคำพูดคนอื่นเก็บมาคิด ทำให้เกิดความทุกข์ใจ อย่าลืมว่าสิ่งดีๆ จะเกิดขึ้นได้เพราะคำพูดจาดีๆ คำพูดจาหวานๆ 3อ. เอาหยาดเหงื่อแห่งความลำบาก มาล้างความยากจน คือขยันให้เหงื่อออกทางรูขมุขน ดีกว่าขี้เกียจแล้วยากจน จนน้ำล้นออกทางตา เพราะเหงื่อคือน้ำมนต์ที่ดีที่สุด 4อ. เอาความดีของคนอื่นมาล้างกิเลสเรา หากเห็นใครประสบความสำเร็จในชีวิต ก็สาธุอนุโมทนายินดีกับเขาด้วย แล้วชีวิตเราก็จะมีความสุขมากขึ้น เช่นคำสอนที่ว่าโลกภายนอกกว้างไกลใครใครรู้ โลกภายในลึกซึ้งอยู่รู้บ้างไหม อยากมองโลกภายนอกให้เราทั้งหลายมองออกไป อยากมองโลกภายในให้เราย้อนกลับมาที่ตัวเราเองและสุดท้าย 5อ. เอาธรรมะของพระพุทธเจ้ามาล้างใจตัวเอง ซึ่งธรรมะขั้นพื้นฐานของชีวิตก็คือศีล 5 ข้อ โดยพระอาจารย์สรุปให้เข้าใจง่ายๆ ได้แก่ ศีลข้อ 1 ไม่โหดร้าย มีเมตตา มีความรัก ไม่อาฆาตมาดร้าย รักกันเหมือนพี่ดีกันเหมือนน้อง ปรองดองกันเหมือนญาติ พึงระลึกเสมอว่า จิตใจของเรามีผลต่อสภาพแวดล้อมจะคิด จะพูดอะไรก็ตาม มีผลต่อคนรอบข้างเสมอ หากจิตดี กายย่อมดีตามมา