ประวัติของกำปั่น บ้านแท่น ชื่อจริง กำปั่น ข่อยนอก ศิลปินพื้นบ้านอีสานแ การแปล - ประวัติของกำปั่น บ้านแท่น ชื่อจริง กำปั่น ข่อยนอก ศิลปินพื้นบ้านอีสานแ อังกฤษ วิธีการพูด

ประวัติของกำปั่น บ้านแท่น ชื่อจริง

ประวัติของกำปั่น บ้านแท่น ชื่อจริง กำปั่น ข่อยนอก ศิลปินพื้นบ้านอีสานแห่งชาติ
เด็กชายกำปั่น ได้ถือกำเนิด มาลืมตาดูโลก วันที่ 1 กรกฎาคม ปี พุทธศักราช 2494 ปีเถาะ ตรงกับวันอาทิตย์ เป็นลูกชาวนา บิดาชื่อ พ่อดี มารดาชื่อ แม่เพียร ข่อยนอก ณ.บ้านเลขที่ 7 บ้านแท่น ต.โพนทอง อ.บัวใหญ่ จ.นครราชสีมา มีพี่น้องเกิดร่วมท้องเดียวกัน 4 คน คือ

1. นายดัด ข่อยนอก (เสียชีวิตแล้ว)
2. นางห่าม ข่อยนอก
3. นางบุญนาค ข่อยนอก (เสียชีวิตแล้ว)
4. นายแสวง ข่อยนอก
เด็กชายกำปั่น พอคลอดออกมาลืมตาดูโลกได้ประมาณ 6-7 เดือน มารดาได้เสียชีวิตลง จึงต้องอยู่ในความอุปการะดูแล ของพี่ๆ บางครั้งต้องอาศัยดื่มนมจากหญิงแม่ลูกอ่อนในละแวกใกล้เคียง ด้วยความเวทนาสงสาร (เมื่อก่อนยังไม่มีนมผง หรือนมกระป๋อง) และบางครั้งต้องดื่มน้ำข้าวรินผสมใส่น้ำตาล (อร่อยมาก) จวบกับเด็กชายกำปั่น เป็นเด็กค่อนข้างจะสมบูรณ์แข็งแรง จึงไม่ค่อยมีโรคภัยไข้เจ็บมาเบียดเบียนเท่าไรนัก จะมีก็เป็นเพียงโรคซางตาเหลื่อม (ตาไม่ค่อยมองเห็นเมื่อยามค่ำคืนหรือตื่นจากนอนใหม่ๆ) พี่สาวและพี่ชายพยายามหารังมดดำ มาต้มแล้วรมตาจึงค่อยหาย (เป็นยาแผนโบราณชะงัดนักแล)
เมื่ออายุได้ประมาณ 3-4 ขวบ มักจะเป็นแผลที่น่องเท้า และขาพับ เป็นแผลที่รักษาไม่ค่อยจะหาย แต่ไม่ใช่เป็นโรคผิวหนัง เขาบอกว่า โรคน้ำเหลืองเสีย มันเป็นๆ หายๆ อยู่อย่างนั้น เมื่อเริ่มจะเป็นเมื่อไร จะมีอาการคันที่ขาพับ และน่อง พ่อต้องไปหาใบวัชพืชชนิดหนึ่ง เรียกว่าใบสาระเสร็จมาบดให้ละเอียดผสมเกลือนิดๆ แล้วทาที่บริเวณแผล ไม่นานก็จะหายแต่ผอมแห้ง พุงโร เป็นโรคซางตาลขโมยเหมือนเด็กอื่นๆ ไม่ค่อยเป็นคงจะเป็นเพราะอานิสงส์ที่ได้กินน้ำข้างริน ที่อุดมไปด้วยวิตามินกระมัง

สมัยเมื่อก่อน อาหารจำพวก เนื้อหมู เนื้อวัว อย่างหวังเลยว่าจะได้กินง่ายๆ เพราะปีหนึ่ง ชาวบ้านจะล้มหมู หรือล้มวัว มาทำเป็นอาหารก็ยาก จะได้กินอยู่บ้างก็เฉพาะเนื้อเป็ด ไก่ แต่ถ้าคราใดที่มีการล้มหมู หรือวัว ควาย จะได้ยินเสียงสับเขียงกันวุ่นวายหัวบ้านท้ายบ้านเลยเชียว
จุดหักเหสำคัญที่สุดครั้งแรกทำให้เด็กกำพร้ามีหาทางเดินก่อนที่จะถึงเกณฑ์อายุเข้าโรงเรียน เมื่อวันเทศกาลสำคัญทางศาสนา อาทิ วันเข้าพรรษา ออกพรรษา สงกรานต์ ชาวบ้าน ปู่ย่า ตายาย มักจะนำเด็กๆ ไปทำบุญที่วัด คนแก่ก็จะนั่งฟังเทศน์บนศาลา เด็กๆ ก็จะวิ่งเล่นในสนามวัดกันอย่างสนุก เล่นซ่อนหาบ้าง เล่นหมากเก็บบ้าง เล่นตี่ หรือรีๆ ข้าวสาร โดยมาเด็กผู้ชายจะชอบเล่น บั้งโพล้ะ (นำกระบอกไม้ไผ่มาหนึ่งอัน และทำไม้สำหรับ กระทุ้งเข้าไปในรูกระบอกไม่ไผ่หนึ่งอันแล้วไปหาหน่วยพลับพลา ที่เกิดขึ้นอยู่ตามป่า ถ้ากินดิบๆ จะมีรสฝาดถ้าหน่อยไหนสุกจะมีรสหวาน นำหน่วยดิบๆ มายัดลงที่รูกรบอกไม้ไผ่แล้วใช้ไม้ที่ทำสำหรับกระแทก กระแทกลูกพลับพลาเข้าไป ให้ลูกพลับพลาหลุดออกอีกทางด้านหนึ่ง จะมีเสียงดัง โพล้ะ) การเล่นบังโพล้ะจะมีอันตรายถ้าหากนำ ไปยิงกันจะเจ็บ ถ้าถูกตา ตาอาจจะบอด แต่เด็กผู้ชายชอบเล่นกันมาก ทำมาประกวดแข่งขันกัน ถ้าของใครยิงออกเสียงดังโพล้ะ ดังมากๆ คนนั้นจะชนะ ไม่เหมือนเด็กผู้ชายสมัยนี้ เขามีปืนพลาสติกเล่นกัน

ในวันนั้นเด็กชายกำปั่น กำลังวิ่งเล่นตามประสาเด็กๆ บังเอิญเหลือบแลไปเห็น เด็กชาย 2-3 คน ที่เป็นเด็กวัด ยืนอยู่ที่หน้าต่าง เด็กเหล่านั้นจะมีผ้าขาวม้าสีเหลืองห่มคนละผืน คงจะเป็นผ้าอาบน้ำฝนของพระที่เก่าแล้วและท่านแจกให้เด็กวัดใช้ห่ม เด็กเหล่านั้นจะโกนผมออกหมด คงไว้แต่เฉพาะคิ้ว ดูแล้วน่ารัก และมีราศีกว่าเด็กชาวบ้านธรรมดาทำให้เด็กชายกำปั่นหยุดจ้องมองดูเด็กเหล่านั้นด้วยความสนใจ ในใจคิดว่า เราทำไมจะได้เป็นเด็กวัดอย่างเขาเหล่านั้น ถ้าเราได้เป็นเด็กวัดเราคงจะได้ผ้าผืนสีเหลืองไว้ห่ม และจะได้โกนผมทิ้งเหมือนกับเด็กเหล่านั้น และเมื่อถึงวันสำคัญๆ ทางศาสนา ประชาชนชาวพุทธมาที่วัดมากๆ เราก็จะได้ยืนดูผู้คนที่หน้าต่าง ใครเห็นคงจะโก้พิลึก ความคิดนี้วูบเข้ามาในสมองของเด็กชายกำปั่น และจากวันนั้นเป็นต้นมา เขานึกเสมอว่าทำไมจะได้ไปอยู่ที่วัด เป็นเด็กวัด ถ้าจะให้สมความปรารถนา เห็นทีจะต้องเข้าไปตีสนิทกับเด็กเหล่านั้นเพื่อจะมีหนทางได้ไปเป็นเด็กวัดอย่างเขาบ้าง

วันต่อมา ที่โรงเรียนวัดบ้านเสว ซึ่งเป็นโรงเรียนที่เด็กชายกำปั่นไปเรียน และเด็กวัดบ้านแท่นเหล่านั้นก็จะไปเรียนที่เดียวกัน วันนั้นทั้งวันเด็กชายกำปั่น พยายามเข้าไปพูดคุยตีสนิท กับเด็กวัดเหล่านั้น ถามถึงเรื่องการเป็นเด็กวัด ว่าสนุกไหม ได้กินอะไรบ้าง ทำไมถึงได้ผ้าสีเหลืองเหมือนผ้าจีวรพระมาห่ม ก็ได้รับคำตอบจากเด็กเหล่านั้นว่า ถ้าใครไปเป็นเด็กวัด พระอาจารย์ทิม ซึ่งเป็นพระสมภารเจ้าอาวาสจะแจกผ้าห่มสีเหลืองให้คนละฝืน และเมื่อก่อนถึงวันสำคัญทางศาสนา พระก็จะโกนหัวให้ จะได้กินขนม อาหารหวานคาวที่เหลือจากพระท่านฉันแล้วรับรองไม่มีอดอยาก อยากไปเป็นเด็กวัดไปอยู่ด้วยกันไหมละ เด็กเหล่านั้นเอ่ยปากชวน ยิ่งสร้างความดีใจให้กับเด็กชายกำปั่น เพราะสิ่งที่ฝันเอาไว้กำลังเป็นจริงแล้ว และนัดแนะกันว่า หลังจากกลับจากโรงเรียนแล้วจะนำไปที่วัดเลย เพื่อไปฝากตัวเป็นเด็กวัดที่สำนักพระอาจารย์ทิม วันนั้นเด็กชายกำปั่น นั่งยิ้มทั้งวัน เพราะกำลังจะเดินทางไปสู่สิ่งที่ใฝ่ฝันเอาไว้
หลังจากโรงเรียนเลิก เด็กชายกำปั่น จึงเดินทางกลับพร้อมกับเพื่อนใหม่คือเด็กวัดเหล่านั้น ระยะทางจากโรงเรียนวัดบ้านเสวมาบ้านแท่น ประมาณ 5-6 ก.ม. วันนั้นรู้สึกว่าหนทางยาวไกลเหลือเกิน ทั้งเดินทั้งวิ่งเพื่อที่จะให้ถึงบ้านเร็วๆ
และเมื่อมาถึงบ้าน พี่สาว 2 คนที่คอยเลี้ยงดูมาตั้งแต่อายุ 6 เดือนครั้งที่แม่ตายจาก เขาทั้งสองเลี้ยงดูน้องโดยไม่เคยให้พรากจากอกไปไหน กำลังง่วนทำงานอยู่ที่บ้าน เด็กชายกำปั่น เมื่อมาถึงบ้านก็โยนกระเป๋าหนังสือทิ้งไว้บนชานเรือน ด้วยความว่ากลัวเพื่อนเด็กวัดจะคอยนานจึงรีบวิ่งออกจากบ้านมาหาเพื่อจะได้ไปวัดพร้อมกัน พี่สาว 2 คน เห็นดังนั้นจึงเรียกถามว่า เฮ้ย ไอ้ปั่น มึงจะไปไหน มาๆ รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าจะได้อาบน้ำกินข้าวเย็นกัน เด็กชายกำปั่น จึงเรียกตอบไปว่า กูจะไปอยู่วัด ว่าแล้วก็รีบวิ่งไป คำว่ากูจะไปอยู่วัด ทำให้พี่สาวทั้งสาองต้องกอดกันร้องไห้ เพราะว่าเลี้ยงน้องกำพร้ามา ไม่เคยให้พรากไปจากอกแม้แต่ครั้งเดียว ด้วยความสงสารน้องจึงต้องกอดกันร้องไห้
0/5000
จาก: -
เป็น: -
ผลลัพธ์ (อังกฤษ) 1: [สำเนา]
คัดลอก!
The history of the ship The House podium I ship outside the artist's real name "ISAN folk national.There was a boy has eyes to see the world come to its July 1 year Buddhist era 2494 rabbit match Sunday is a good father and father's name, mother, farmer's name. Mae Faek phian outside House No. 7 at home podium. T. a. BUA Yai, Phon thong, Nakhon Ratchasima. There is a shared the same birth sister who is pregnant 4.1. Mr. Bender (deceased) I2. Mrs. I also its time.3. Mrs. Bunnak Khoi (deceased)4. Mr. quest, I alsoThere was a boy. Enough eyes to see the world, born approximately 6-7 months, the mother has died down to a dependent care of brothers and sisters sometimes rely on milk from women, a nursing mother in nearby. With pity pity (though there is no milk powder or milk cans), and sometimes the need to drink plenty of water, rice, salad mix, put up with sugar (very tasty), there was a young boy is quite strong so it will be perfect, there are diseases rarely hurt to come molest students. There will be much to the eye disease is overlap (not visible to the eye when in the night, or wake up from sleep, new) Sister and brother try to find the nest of ants, black Tom, come, come eye damage (traditional medicine student changat Lae).At the age of 3-4 years old is usually a brisk feet and legs fold incision wound healing is not lost, but it is not a skin disease. He said that lymphatic disorder lose it recurring. When will it be when the itching legs folded and brisk? Parents must go to the weeds. Also known as a vanity finish came a salt grinder, and Tana on the wound but not too long, it will damage the belly roll is emaciated disease as other children sang Tan steal little growth would be above water, where to eat, because clearly that is rich in vitamins, too many. When first. Pork beef shank example of hope that he will be able to eat plenty, because one year. The villagers will attempt the pig or the cow falling into the food it is hard to eat some chicken and duck meat, but only if it was Krakow which was falling pork or cattle will hear a busy butcher Chop House head home past the end of the same of me.จุดหักเหสำคัญที่สุดครั้งแรกทำให้เด็กกำพร้ามีหาทางเดินก่อนที่จะถึงเกณฑ์อายุเข้าโรงเรียน เมื่อวันเทศกาลสำคัญทางศาสนา อาทิ วันเข้าพรรษา ออกพรรษา สงกรานต์ ชาวบ้าน ปู่ย่า ตายาย มักจะนำเด็กๆ ไปทำบุญที่วัด คนแก่ก็จะนั่งฟังเทศน์บนศาลา เด็กๆ ก็จะวิ่งเล่นในสนามวัดกันอย่างสนุก เล่นซ่อนหาบ้าง เล่นหมากเก็บบ้าง เล่นตี่ หรือรีๆ ข้าวสาร โดยมาเด็กผู้ชายจะชอบเล่น บั้งโพล้ะ (นำกระบอกไม้ไผ่มาหนึ่งอัน และทำไม้สำหรับ กระทุ้งเข้าไปในรูกระบอกไม่ไผ่หนึ่งอันแล้วไปหาหน่วยพลับพลา ที่เกิดขึ้นอยู่ตามป่า ถ้ากินดิบๆ จะมีรสฝาดถ้าหน่อยไหนสุกจะมีรสหวาน นำหน่วยดิบๆ มายัดลงที่รูกรบอกไม้ไผ่แล้วใช้ไม้ที่ทำสำหรับกระแทก กระแทกลูกพลับพลาเข้าไป ให้ลูกพลับพลาหลุดออกอีกทางด้านหนึ่ง จะมีเสียงดัง โพล้ะ) การเล่นบังโพล้ะจะมีอันตรายถ้าหากนำ ไปยิงกันจะเจ็บ ถ้าถูกตา ตาอาจจะบอด แต่เด็กผู้ชายชอบเล่นกันมาก ทำมาประกวดแข่งขันกัน ถ้าของใครยิงออกเสียงดังโพล้ะ ดังมากๆ คนนั้นจะชนะ ไม่เหมือนเด็กผู้ชายสมัยนี้ เขามีปืนพลาสติกเล่นกัน ในวันนั้นเด็กชายกำปั่น กำลังวิ่งเล่นตามประสาเด็กๆ บังเอิญเหลือบแลไปเห็น เด็กชาย 2-3 คน ที่เป็นเด็กวัด ยืนอยู่ที่หน้าต่าง เด็กเหล่านั้นจะมีผ้าขาวม้าสีเหลืองห่มคนละผืน คงจะเป็นผ้าอาบน้ำฝนของพระที่เก่าแล้วและท่านแจกให้เด็กวัดใช้ห่ม เด็กเหล่านั้นจะโกนผมออกหมด คงไว้แต่เฉพาะคิ้ว ดูแล้วน่ารัก และมีราศีกว่าเด็กชาวบ้านธรรมดาทำให้เด็กชายกำปั่นหยุดจ้องมองดูเด็กเหล่านั้นด้วยความสนใจ ในใจคิดว่า เราทำไมจะได้เป็นเด็กวัดอย่างเขาเหล่านั้น ถ้าเราได้เป็นเด็กวัดเราคงจะได้ผ้าผืนสีเหลืองไว้ห่ม และจะได้โกนผมทิ้งเหมือนกับเด็กเหล่านั้น และเมื่อถึงวันสำคัญๆ ทางศาสนา ประชาชนชาวพุทธมาที่วัดมากๆ เราก็จะได้ยืนดูผู้คนที่หน้าต่าง ใครเห็นคงจะโก้พิลึก ความคิดนี้วูบเข้ามาในสมองของเด็กชายกำปั่น และจากวันนั้นเป็นต้นมา เขานึกเสมอว่าทำไมจะได้ไปอยู่ที่วัด เป็นเด็กวัด ถ้าจะให้สมความปรารถนา เห็นทีจะต้องเข้าไปตีสนิทกับเด็กเหล่านั้นเพื่อจะมีหนทางได้ไปเป็นเด็กวัดอย่างเขาบ้าง วันต่อมา ที่โรงเรียนวัดบ้านเสว ซึ่งเป็นโรงเรียนที่เด็กชายกำปั่นไปเรียน และเด็กวัดบ้านแท่นเหล่านั้นก็จะไปเรียนที่เดียวกัน วันนั้นทั้งวันเด็กชายกำปั่น พยายามเข้าไปพูดคุยตีสนิท กับเด็กวัดเหล่านั้น ถามถึงเรื่องการเป็นเด็กวัด ว่าสนุกไหม ได้กินอะไรบ้าง ทำไมถึงได้ผ้าสีเหลืองเหมือนผ้าจีวรพระมาห่ม ก็ได้รับคำตอบจากเด็กเหล่านั้นว่า ถ้าใครไปเป็นเด็กวัด พระอาจารย์ทิม ซึ่งเป็นพระสมภารเจ้าอาวาสจะแจกผ้าห่มสีเหลืองให้คนละฝืน และเมื่อก่อนถึงวันสำคัญทางศาสนา พระก็จะโกนหัวให้ จะได้กินขนม อาหารหวานคาวที่เหลือจากพระท่านฉันแล้วรับรองไม่มีอดอยาก อยากไปเป็นเด็กวัดไปอยู่ด้วยกันไหมละ เด็กเหล่านั้นเอ่ยปากชวน ยิ่งสร้างความดีใจให้กับเด็กชายกำปั่น เพราะสิ่งที่ฝันเอาไว้กำลังเป็นจริงแล้ว และนัดแนะกันว่า หลังจากกลับจากโรงเรียนแล้วจะนำไปที่วัดเลย เพื่อไปฝากตัวเป็นเด็กวัดที่สำนักพระอาจารย์ทิม วันนั้นเด็กชายกำปั่น นั่งยิ้มทั้งวัน เพราะกำลังจะเดินทางไปสู่สิ่งที่ใฝ่ฝันเอาไว้After the school canceled. There was a boy. Guests travelling with children to make new friends is to measure them. The distance from home to school, Wat ban say wama podium. Approx. 5-6 kilometers it felt way too long in both both ran to journey home!และเมื่อมาถึงบ้าน พี่สาว 2 คนที่คอยเลี้ยงดูมาตั้งแต่อายุ 6 เดือนครั้งที่แม่ตายจาก เขาทั้งสองเลี้ยงดูน้องโดยไม่เคยให้พรากจากอกไปไหน กำลังง่วนทำงานอยู่ที่บ้าน เด็กชายกำปั่น เมื่อมาถึงบ้านก็โยนกระเป๋าหนังสือทิ้งไว้บนชานเรือน ด้วยความว่ากลัวเพื่อนเด็กวัดจะคอยนานจึงรีบวิ่งออกจากบ้านมาหาเพื่อจะได้ไปวัดพร้อมกัน พี่สาว 2 คน เห็นดังนั้นจึงเรียกถามว่า เฮ้ย ไอ้ปั่น มึงจะไปไหน มาๆ รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าจะได้อาบน้ำกินข้าวเย็นกัน เด็กชายกำปั่น จึงเรียกตอบไปว่า กูจะไปอยู่วัด ว่าแล้วก็รีบวิ่งไป คำว่ากูจะไปอยู่วัด ทำให้พี่สาวทั้งสาองต้องกอดกันร้องไห้ เพราะว่าเลี้ยงน้องกำพร้ามา ไม่เคยให้พรากไปจากอกแม้แต่ครั้งเดียว ด้วยความสงสารน้องจึงต้องกอดกันร้องไห้
การแปล กรุณารอสักครู่..
 
ภาษาอื่น ๆ
การสนับสนุนเครื่องมือแปลภาษา: กรีก, กันนาดา, กาลิเชียน, คลิงออน, คอร์สิกา, คาซัค, คาตาลัน, คินยารวันดา, คีร์กิซ, คุชราต, จอร์เจีย, จีน, จีนดั้งเดิม, ชวา, ชิเชวา, ซามัว, ซีบัวโน, ซุนดา, ซูลู, ญี่ปุ่น, ดัตช์, ตรวจหาภาษา, ตุรกี, ทมิฬ, ทาจิก, ทาทาร์, นอร์เวย์, บอสเนีย, บัลแกเรีย, บาสก์, ปัญจาป, ฝรั่งเศส, พาชตู, ฟริเชียน, ฟินแลนด์, ฟิลิปปินส์, ภาษาอินโดนีเซี, มองโกเลีย, มัลทีส, มาซีโดเนีย, มาราฐี, มาลากาซี, มาลายาลัม, มาเลย์, ม้ง, ยิดดิช, ยูเครน, รัสเซีย, ละติน, ลักเซมเบิร์ก, ลัตเวีย, ลาว, ลิทัวเนีย, สวาฮิลี, สวีเดน, สิงหล, สินธี, สเปน, สโลวัก, สโลวีเนีย, อังกฤษ, อัมฮาริก, อาร์เซอร์ไบจัน, อาร์เมเนีย, อาหรับ, อิกโบ, อิตาลี, อุยกูร์, อุสเบกิสถาน, อูรดู, ฮังการี, ฮัวซา, ฮาวาย, ฮินดี, ฮีบรู, เกลิกสกอต, เกาหลี, เขมร, เคิร์ด, เช็ก, เซอร์เบียน, เซโซโท, เดนมาร์ก, เตลูกู, เติร์กเมน, เนปาล, เบงกอล, เบลารุส, เปอร์เซีย, เมารี, เมียนมา (พม่า), เยอรมัน, เวลส์, เวียดนาม, เอสเปอแรนโต, เอสโทเนีย, เฮติครีโอล, แอฟริกา, แอลเบเนีย, โคซา, โครเอเชีย, โชนา, โซมาลี, โปรตุเกส, โปแลนด์, โยรูบา, โรมาเนีย, โอเดีย (โอริยา), ไทย, ไอซ์แลนด์, ไอร์แลนด์, การแปลภาษา.

Copyright ©2024 I Love Translation. All reserved.

E-mail: