ที่มาของโรฮิงญา มีแนวความคิดเกี่ยวก

ที่มาของโรฮิงญา
มีแนวความคิดเกี่ยวกับที่มาของกลุ่มโรฮิงญาหลายแนวทางดังนี้
- นักวิชาการบางส่วนระบุว่า เป็นชนพื้นเมืองรัฐยะไข่
- ส่วนนักประวัติศาสตร์บางส่วนมักอ้างว่าพวกเขาอพยพมาประเทศพม่าจากเบงกอลส่วนใหญ่ระหว่างสมัยการปกครองของอังกฤษ
- นักประวัติศาสตร์ส่วนน้อยว่า โรฮิงญาเป็นกลุ่มคนที่อพยพมาหลังพม่าได้เอกราชในปี 2491 และสงครามประกาศอิสรภาพบังกลาเทศในปี 2514
ประวัติของ “โรฮิงญา”
ชาวโรฮิงยา มีลักษณะทางกายภาพคล้ายคลึงกับชาวเอเชียใต้ โดยเฉพาะชาวเบงกอล
บางส่วนสืบเชื้อสายมาจากชาวอาหรับ เปอร์เซีย และ ปาทาน ที่อพยพมาตั้งแต่สมัยจักรวรรดิโมกุล
ถิ่นที่อยู่ของ ชาวโรฮิงยา ( ชาวยะไข่ รัฐยะไข่ ) อยู่ในภูมิประเทศที่ถูกปิดล้อมไว้ด้วยเทือกเขาอารากัน ซึ่งอยู่ทางด้านทิศตะวันออก
ภูมิประเทศที่มีความซับซ้อน ยากต่อการคมนาคมติดต่อกับ เมืองหลวงของประเทศพม่า เพราะมีเทือกเขาอารากัน เป็นเสมือนกำแพงขวางกั้นจากโลกภายนอก ทำให้ชาวยะไข่ มีวิถีชีวิต และ วิธีคิดเป็นอิสระจากชนส่วนใหญ่ในพม่า
รัฐยะไข่ มีประชากรประมาณ ๒ ล้านคน ในสมัยอังกฤษเข้าปกครองเรียก รัฐยะไข่ ว่า อารากัน (Arakan ) มี เมืองหลวงชื่อ สตวย (Sittwe)
ประชากรชาว ยะไข่ หรือ ชาวโรฮิงยา ส่วนใหญ่เป็นชาวพุทธ อยู่ทางด้านใต้ของรัฐ
มีชาวมุสลิมประมาณ ๕ แสนคน อยู่ทางด้านเหนือ อีกสวนหนึ่งเป็นมุสลิมเข้ามาจาก จิตตะกอง อย่างผิดกฎหมาย พวกนี้แหละคือ “ โรอิงยา ”
ประวัติศาสร์ชาวโรฮิงญา
ชาวโรฮินจา คือมุสลิมที่อาศัยอยุ่ทางตอนเหนือของยะไข่ (อาระกัน) และพูดภาษาโรฮีนจา นักวิชาการบางคนบอกว่า พวกเขาเป็นคนพื้นเมืองในยะไข่ ในขณะที่นักประวัติศาสตร์หลายคนกล่าวว่า พวกเขาเป็นผู้อพยพมาจากเบงกอล ในช่วงที่อังกฤษปกครอง และบางส่วนก็มาในช่วงที่พม่าได้รับเอกราช และช่วงสงครามกลางเมืองในบังคลาเทศ

มุสลิมได้เข้ามาอยู่อาศัยในอาระกันตั้งแต่ศตวรรษที่ 15 แต่จำนวนไม่สามารถระบุได้แน่ชัด หลังจากสงคราม Anglo-Burmese ในปี 1826 อังกฤษ เข้าปกครองอาระกัน และอพยพผู้คนจากเบงกอลเข้ามาใช้แรงงาน จำนวนประชากรของมุสลิมคิดเป็น 5% ของชาวอาระกันในขณะนั้น (1869) แต่หลังจากนั้นไม่นาน จำนวนประชากรโรฮิงยาได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว บันทึกตามสัมโนประชากรของอังกฤษระหว่างปี 1872 และ 1991 ได้ระบุว่าจะนวนประชากรมุสลิมในยะไข่ เพิ่มขึ้นจาก 58,255 คนเป็น 178,646 คน

ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง เกิดความรุนแรงระหว่างกองกำลังมุสลิม ที่อังกฤษติดอาวุธให้ กับกองกำลังชาวยะไข่พื้นเมือง ทำให้ความขัดแย้งเพิ่มสูงขึ้น ในปี 1982 นายพลเนวินได้ทำรัฐประหารสำเร็จ และปฏิเสธความเป็นพลเมืองพม่าของชาวโรฮินจา
ยุคสมัยอณาจักร มรัคอู
หลักฐานของการตั้งถิ่นฐานของมุสลิมเบงกอลในดินแดนอาระกันครั้งแรก ย้อนกลับไปได้ถึงยุคของกษัตริย์ชาวพุทธนามว่า นรเมขลา (1430-1434) แห่งอาณาจักร มรัคอู (Mrauk U) หลังจากที่กษัตริย์นรเมขลาได้ลี้ภัยทางการเมืองไปอยู่ในเบงกอล(บังคลาเทศ)เป็นเวลา 24 ปี เขาได้กลับมาครองบันลังก์ได้อีกครั้งในปี 1430 โดยการสนับสนุนด้านกำลังทหารจากสุลต่านเบงกอล ทหารชาวเบงกอลที่มากับกษัตร์ย์นรเมขลา จึงตั้งถิ่นฐานอยู่ในดินแดนอาระกัน หลังจากนั้น เขายกดินแดนบางส่วนให้สุลต่านเบงกอล และยอมรับอธิปไตยของสุลต่านเบงกอลเหนือดินแดนเหล่านั้น

เพื่อแสดงถึงความเป็นข้าราชบริพานในสุลต่านเบงกอล ราชาอาระกันได้ใช้ชื่อแบบอิสลาม และนำเงินเหรียญอิสลามมาใช้ในราชอาณาจักร กษัตริย์นรเมขลา ได้สร้างเหรียญที่มีอักษรพม่าอยู่ด้านหนึ่ง และอักษรเปอเซียอยู่อีกด้านหนึ่ง แต่ความเป็นรัฐทาสของอาระกันต่อเบงกอลเป็นไปในระยะเวลาสั้นๆ หลักจากที่สุลต่าน Jalaluddin Muhammad Shah ตายลงในปี 1433 ผู้สืบทอดของกษัตริย์นรเมขลาก็ตอบแทนด้วยการเข้ายึดเมืองรามูในปี 1437 และจิตะกองในปี 1459 อารกันได้ยึดครองจิตะกองไปจนถึงปี 1666
ยุคแห่งชัยชนะของพม่า
หลังจากที่พม่าได้ชัยชนะต่ออาระกันในปี 1785 ชาวอาระกันจำนวน 35,000 คนได้หนีเข้าไปในเขตจิตตะกองของบริติชเบงกอลในปี 1799 เพื่อหนีเอาชีวิตรอด และแสวงหาการคุ้มครองจากบริติชอินเดีย ผู้ปกครองพม่าได้ประหารชาวอาระกันนับพันคน และขนย้ายประชากรส่วนที่เหลือ เข้าไปที่ภาคกลางของพม่า ทิ้งอาระกันให้เป็นดินแดนที่แทบจะร้างผู้คนไปจนถึงช่วงที่อังกฤษเข้ามายึดครอง ในระหว่างนั้น มีฑูตคนหนึ่งชื่อ Sir Henry Yule พบเห็นชาวมุสลิมจำนวนมาก ทำงานรับใช้ราชวงศ์พม่าในฐานะขันที และขันทีมุสลิมเหล่านี้ มาจากอาระกัน

ยุคการปกครองของจักรวรรดิ์อังกฤษ
อังกฤษได้ส่งเสริมให้ชาวเบงกอลที่อยู่ในดินแดนใกล้เคียง อพยพเข้าไปตั้งรกรากในดินแดนอาระกัน ในฐานะผู้ใช้แรงงานในฟาร์ม อังกฤษได้ยกเลิกเขตแดนระหว่างเบงกอลและ อาระกัน ทำให้มีไม่ข้อจำกัดในการอพยพระหว่างดินแดน ในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 ชาวเบงกอลนัพพัน จากจิตตะกอง ได้เข้ามาตั้งรกรากในอาระกันและหางานทำ
สำมะโนประชากรของอังกฤษปี 1871 รายงานว่ามีมุสลิมอยู่ 58,255 คนในยะไข่ และในปี 1911 จำนวนมุสลิมได้เพิ่มขึ้นเป็น 178,647 คน คลื่นของผู้อพยพพากันหลั่งไหลเข้ามาตามความต้องการแรงงานราคาถูกในกิจการข้าวเปลือกของบริติชอินเดีย ผู้อพยพจากเบงกอล ซึ่งส่วนใหญ่ มาจากจิตตะกอง หลั่งไหลกันเข้ามาสู่เมืองทางตะวันตกของอาระกัน การอพยพของขาวอินเดีย(ในขณะนั้น) เข้าสู่พม่า ได้กลายเป็นปรากฎการณ์ระดับชาติของพม่า ไม่ใช่แค่ในอาระกัน
นักประวัติศาสตร์บันทึกว่า ในตอนต้นของศตวรรษที่ 20 ชาวอินเดียเข้าไปตั้งรกรากในพม่าไม่ต่ำกว่า 250,000 คนต่อปี จำนวนผู้อพยพได้เพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอจนถึงจุดสุดยอดในปี 1927 ซึ่งมีจำนวนผู้อพยพสูงถึง 480,000 คน ย่างกุ้งได้แซงหน้านิวยอร์คในการเป็นปลายทางของผู้อพยพสูงสุดในโลก เมืองใหญ่หลายเมืองของพม่าอย่าง ย่างกุ้ง,ยะไข่, Bassein,Moulmein ผู้อพยพชาวอินเดีย กลายเป็นประชากรส่วนใหญ่ ชาวพม่าต้องตกอยู่ในความสิ้นหวัง

ผลกระทบของการย้ายถิ่นฐานมีความรุนแรงโดยเฉพาะในอาระกัน ในปี 1939 เจ้าหน้าที่ของอังกฤษได้แจ้งเตือนถึงความเป็นปรปักษ์กันระหว่างชาวอาระกันพื้นเมืองที่นับถือพุทธ กับผู้อพยพชาวมุสลิม และจัดตั้งคณะกรรมการนำโดย James Ester และ Tin Tut เพื่อศึกษาประเด็นการอพยพของมุสลิมเข้ามาในอาระกัน คณะกรรมการได้ให้คำแนะนำให้เพิ่มการรักษาความปลอดภัยระหว่างเขตแดนของทั้งสองกลุ่ม อย่างไรก็ดีผลของสงครามโลกครั้

ผลลัพธ์ (อังกฤษ) 1:

The rohingya Have an idea about the origins of many rohingya Group guidelines:-Some scholars identify as indigenous Rakhine State.-Some historians often claim that they migrated from Bengal, Burma onsuan between the reign of dominance of English.-Minority historians that the rohingya are a group of people who migrated after the independence in the year 2491 Myanmar and Bangladesh independence war in 2514 (1971)The history of "rohingya". Rohingya people Have physical characteristics similar to the people of South Asia, especially the people of Bengal? Some descended from Arabic, Persian, and pathan came to the Empire, migrated from Moda, d.SC. Home of the Rohingya people (people of Rakhine State, Rakhine) in closed terrain by Mount ARA, which is to the East. The terrain is complex, difficult to transport and contact with the capital city of Burma because it has the same mount as the walls of the hotel from the outside world day to Rakhine lifestyles and how to think independently, most peoples in Myanmar. Rakhine State, which has a population of 2 million people. The State Government called in the uk into Rakhine (Arakan) that ARA has a capital city name. String วย (Sittwe) Farmer population. Rakhine or Rohingya people, mainly Buddhists, South of the State. มีชาวมุสลิมประมาณ ๕ แสนคน อยู่ทางด้านเหนือ อีกสวนหนึ่งเป็นมุสลิมเข้ามาจาก จิตตะกอง อย่างผิดกฎหมาย พวกนี้แหละคือ “ โรอิงยา ”ประวัติศาสร์ชาวโรฮิงญาชาวโรฮินจา คือมุสลิมที่อาศัยอยุ่ทางตอนเหนือของยะไข่ (อาระกัน) และพูดภาษาโรฮีนจา นักวิชาการบางคนบอกว่า พวกเขาเป็นคนพื้นเมืองในยะไข่ ในขณะที่นักประวัติศาสตร์หลายคนกล่าวว่า พวกเขาเป็นผู้อพยพมาจากเบงกอล ในช่วงที่อังกฤษปกครอง และบางส่วนก็มาในช่วงที่พม่าได้รับเอกราช และช่วงสงครามกลางเมืองในบังคลาเทศ มุสลิมได้เข้ามาอยู่อาศัยในอาระกันตั้งแต่ศตวรรษที่ 15 แต่จำนวนไม่สามารถระบุได้แน่ชัด หลังจากสงคราม Anglo-Burmese ในปี 1826 อังกฤษ เข้าปกครองอาระกัน และอพยพผู้คนจากเบงกอลเข้ามาใช้แรงงาน จำนวนประชากรของมุสลิมคิดเป็น 5% ของชาวอาระกันในขณะนั้น (1869) แต่หลังจากนั้นไม่นาน จำนวนประชากรโรฮิงยาได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว บันทึกตามสัมโนประชากรของอังกฤษระหว่างปี 1872 และ 1991 ได้ระบุว่าจะนวนประชากรมุสลิมในยะไข่ เพิ่มขึ้นจาก 58,255 คนเป็น 178,646 คน ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง เกิดความรุนแรงระหว่างกองกำลังมุสลิม ที่อังกฤษติดอาวุธให้ กับกองกำลังชาวยะไข่พื้นเมือง ทำให้ความขัดแย้งเพิ่มสูงขึ้น ในปี 1982 นายพลเนวินได้ทำรัฐประหารสำเร็จ และปฏิเสธความเป็นพลเมืองพม่าของชาวโรฮินจา ยุคสมัยอณาจักร มรัคอู หลักฐานของการตั้งถิ่นฐานของมุสลิมเบงกอลในดินแดนอาระกันครั้งแรก ย้อนกลับไปได้ถึงยุคของกษัตริย์ชาวพุทธนามว่า นรเมขลา (1430-1434) แห่งอาณาจักร มรัคอู (Mrauk U) หลังจากที่กษัตริย์นรเมขลาได้ลี้ภัยทางการเมืองไปอยู่ในเบงกอล(บังคลาเทศ)เป็นเวลา 24 ปี เขาได้กลับมาครองบันลังก์ได้อีกครั้งในปี 1430 โดยการสนับสนุนด้านกำลังทหารจากสุลต่านเบงกอล ทหารชาวเบงกอลที่มากับกษัตร์ย์นรเมขลา จึงตั้งถิ่นฐานอยู่ในดินแดนอาระกัน หลังจากนั้น เขายกดินแดนบางส่วนให้สุลต่านเบงกอล และยอมรับอธิปไตยของสุลต่านเบงกอลเหนือดินแดนเหล่านั้น เพื่อแสดงถึงความเป็นข้าราชบริพานในสุลต่านเบงกอล ราชาอาระกันได้ใช้ชื่อแบบอิสลาม และนำเงินเหรียญอิสลามมาใช้ในราชอาณาจักร กษัตริย์นรเมขลา ได้สร้างเหรียญที่มีอักษรพม่าอยู่ด้านหนึ่ง และอักษรเปอเซียอยู่อีกด้านหนึ่ง แต่ความเป็นรัฐทาสของอาระกันต่อเบงกอลเป็นไปในระยะเวลาสั้นๆ หลักจากที่สุลต่าน Jalaluddin Muhammad Shah ตายลงในปี 1433 ผู้สืบทอดของกษัตริย์นรเมขลาก็ตอบแทนด้วยการเข้ายึดเมืองรามูในปี 1437 และจิตะกองในปี 1459 อารกันได้ยึดครองจิตะกองไปจนถึงปี 1666ยุคแห่งชัยชนะของพม่า หลังจากที่พม่าได้ชัยชนะต่ออาระกันในปี 1785 ชาวอาระกันจำนวน 35,000 คนได้หนีเข้าไปในเขตจิตตะกองของบริติชเบงกอลในปี 1799 เพื่อหนีเอาชีวิตรอด และแสวงหาการคุ้มครองจากบริติชอินเดีย ผู้ปกครองพม่าได้ประหารชาวอาระกันนับพันคน และขนย้ายประชากรส่วนที่เหลือ เข้าไปที่ภาคกลางของพม่า ทิ้งอาระกันให้เป็นดินแดนที่แทบจะร้างผู้คนไปจนถึงช่วงที่อังกฤษเข้ามายึดครอง ในระหว่างนั้น มีฑูตคนหนึ่งชื่อ Sir Henry Yule พบเห็นชาวมุสลิมจำนวนมาก ทำงานรับใช้ราชวงศ์พม่าในฐานะขันที และขันทีมุสลิมเหล่านี้ มาจากอาระกัน
ยุคการปกครองของจักรวรรดิ์อังกฤษ
อังกฤษได้ส่งเสริมให้ชาวเบงกอลที่อยู่ในดินแดนใกล้เคียง อพยพเข้าไปตั้งรกรากในดินแดนอาระกัน ในฐานะผู้ใช้แรงงานในฟาร์ม อังกฤษได้ยกเลิกเขตแดนระหว่างเบงกอลและ อาระกัน ทำให้มีไม่ข้อจำกัดในการอพยพระหว่างดินแดน ในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 ชาวเบงกอลนัพพัน จากจิตตะกอง ได้เข้ามาตั้งรกรากในอาระกันและหางานทำ
สำมะโนประชากรของอังกฤษปี 1871 รายงานว่ามีมุสลิมอยู่ 58,255 คนในยะไข่ และในปี 1911 จำนวนมุสลิมได้เพิ่มขึ้นเป็น 178,647 คน คลื่นของผู้อพยพพากันหลั่งไหลเข้ามาตามความต้องการแรงงานราคาถูกในกิจการข้าวเปลือกของบริติชอินเดีย ผู้อพยพจากเบงกอล ซึ่งส่วนใหญ่ มาจากจิตตะกอง หลั่งไหลกันเข้ามาสู่เมืองทางตะวันตกของอาระกัน การอพยพของขาวอินเดีย(ในขณะนั้น) เข้าสู่พม่า ได้กลายเป็นปรากฎการณ์ระดับชาติของพม่า ไม่ใช่แค่ในอาระกัน
นักประวัติศาสตร์บันทึกว่า ในตอนต้นของศตวรรษที่ 20 ชาวอินเดียเข้าไปตั้งรกรากในพม่าไม่ต่ำกว่า 250,000 คนต่อปี จำนวนผู้อพยพได้เพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอจนถึงจุดสุดยอดในปี 1927 ซึ่งมีจำนวนผู้อพยพสูงถึง 480,000 คน ย่างกุ้งได้แซงหน้านิวยอร์คในการเป็นปลายทางของผู้อพยพสูงสุดในโลก เมืองใหญ่หลายเมืองของพม่าอย่าง ย่างกุ้ง,ยะไข่, Bassein,Moulmein ผู้อพยพชาวอินเดีย กลายเป็นประชากรส่วนใหญ่ ชาวพม่าต้องตกอยู่ในความสิ้นหวัง

ผลกระทบของการย้ายถิ่นฐานมีความรุนแรงโดยเฉพาะในอาระกัน ในปี 1939 เจ้าหน้าที่ของอังกฤษได้แจ้งเตือนถึงความเป็นปรปักษ์กันระหว่างชาวอาระกันพื้นเมืองที่นับถือพุทธ กับผู้อพยพชาวมุสลิม และจัดตั้งคณะกรรมการนำโดย James Ester และ Tin Tut เพื่อศึกษาประเด็นการอพยพของมุสลิมเข้ามาในอาระกัน คณะกรรมการได้ให้คำแนะนำให้เพิ่มการรักษาความปลอดภัยระหว่างเขตแดนของทั้งสองกลุ่ม อย่างไรก็ดีผลของสงครามโลกครั้

ผลลัพธ์ (อังกฤษ) 2:

The origin of the Rohingya
have ideas about the origin of the Rohingya several ways
- some scholars identified. A native Rakhine state
- of some historians claim that they migrated from Burma, Bengal, mostly during the days of British rule
- a little of that history. Rohingyas are people who immigrated after Burma gained independence in 2491 and the war of independence in Bangladesh. 2514
profile "Rohingya",
the Rohingya. Have physical characteristics similar to South Asians. The people of Bengal,
some descended from Arabic, Persian and Afghan immigrants since the Mughal Empire,
a resident of the Rohingya (Rakhine Rakhine) in terrain surrounded by mountains. Arakanese Situated on the east side
of the complex terrain. Communications are difficult to contact Burma's capital Because Arakanese Mountains As barriers to the outside world. Rakhine make a lifestyle and way of thinking, independent of the majority of the Burmese
state of Rakhine. An estimated 2 million people in the UK ruled that the Arakanese Rakhine (Arakan) The capital storey unit (Sittwe)
population Rakhine or Rohingya people are mostly Buddhist. On the southern state of
Muslims around 5 million people on the north side. Partly Muslims from Chittagong illegally. This is the "Roma based medicine"
Historical Rohingya people of
the Rohingya. Islam is the habitat of northern Rakhine (Arakan) and Roberto speak Hee Ja. Some scholars say They are the indigenous people in Rakhine. While many historians say. They are refugees from Bengal. During the British rule And some of it during the Burma gained independence. And the civil war in Bangladesh, a Muslim has to live in Arakan since the 15th century, but the amount can not be determined with certainty. After the War In 1826 the British Anglo-Burmese Arakan region. And migration of people from Bengal into labor. The population of Muslims, representing 5% of the Arakan at that time (1869), but shortly afterwards. Rohingya population has increased rapidly. Interview notes the concept of the British population between the years 1872 and 1991 indicated that the population of Muslims in Rakhine increased from 58 255 to 178 646 people during World War II. Violence between Muslim forces. The British armed Rakhine indigenous forces. The conflict increased in 1982, General Ne Win's coup succeeded. And denied Burmese citizenship of the Rohingya era delaying. The UN Cosmo evidence of the settlement of Bengali Muslims in Arakan territory for the first time. Dating back to the era of King Buddhist goddess of the ocean called the pupil (1430-1434) of the Kingdom of the UN constructions (Mrauk U) after the goddess of the ocean king was equivalent to political asylum in Bengali (Bangladesh) for. 24 years, he has regained the power save mode again in 1430 by supporting the forces of the Sultan of Bengal. Bengali soldiers who came to the goddess of the ocean equivalent to King's Bay. He settled in the Arakan region after he raised some lands to the Sultan of Bengal. And accept the sovereignty of the Sultan of Bengal over those lands to demonstrate the courtier's butt in the Sultanate of Bengal. Arakan King has used Islamic name. The silver medal in the Islamic kingdom. Kings student Mekhala The award was created with the Burmese side. And letters to the Sierra on the other side. But the slave state of Arakan to Bengal in a short period of time. After the Sultan Jalaluddin Muhammad Shah died in 1433, the successor of King student Mekhala was rewarded by the public to capture the city in 1437 and Ta Chi Division in 1459, Araya was taken to the Royal Ta Chi year. 1666 era of the triumph of Burma after the Burmese Arakan victory in 1785 was 35,000 people have fled Arakan in Chittagong of British Bengal in 1799 to escape. And seek the protection of British India. Ruled Myanmar has killed thousands of people of Arakan. Transport and the rest of the population. Into the central part of Myanmar Arakan to leave the territory was almost deserted of people to the British occupation. Meanwhile A diplomat named Sir Henry Yule seen many Muslims. Myanmar regime served as a eunuch. These and Muslim eunuch Arakan from the rule of the British Empire was promoted to the British Bengal in the territory nearby. Immigrants to settle in the land of Arakan. As the workers on the farm. England had abolished the border between Bengal and Arakan has no restrictions in migration between regions. In the early 19th century, the Bengali nationalists May thousands of Chittagong have settled in Arakan and jobs census of England in 1871 reported that Muslims are 58,255 people in Rakhine and in 1911 the number of Muslims has increased. a wave of immigrants brought together 178,647 people poured into the demand for cheap labor in the grain business of British India. Bengali immigrants, mostly from Chittagong. Pour into the city's western Arakan. The migration of Indian rice (at the time) into Burma has become a national phenomenon of Myanmar. Not just in Arakan historians record that. At the beginning of the 20th century Indians to settle in Burma, more than 250,000 people a year, the number of refugees has steadily increased to a peak in 1927, with the number of immigrants reached 480,000 people, Yangon has outpaced New York. in the destination of most refugees in the world. Many of the major cities in Burma. Yangon, Rakhine, Bassein, Moulmein. Indian immigrants Become the majority population Myanmar to fall into despair, the impact of immigration has intensified, especially in Arakan in 1939, British authorities were alerted to the antagonism between the indigenous people of Arakan Buddhist. Muslim immigrants And established a commission led by James Ester and Tin Tut to study the issue of migration of Muslims into Arakan. The Board of Directors has recommended to increase the security of the borders between the two groups. However, the results of World War Ophiuchus

ผลลัพธ์ (อังกฤษ) 3:

The source of the Rohingya
. A concept about the source of the Rohingya in many ways as follows:
- some scholars identified as indigenous Rakhine state
.Some historians claim that they - and often migrated to China from Bengal, mostly between rule of England
.Minority - historian. A group of people who migrated after the Rohingya Burmese independence in 2491 war of independence of Bangladesh and in the history of 2514

. "Rohingya."Rohingya has physical characteristics similar to the South Asia, especially the people of Bengal
some investigating bacterial communication came from an Arab, Persian and. Pathan who migrated from the days of the Mughal Empire
.A resident of the Rohingya (ชาวยะไข่ Rakhine state.) in the terrain was surrounded by mountains of Ara. Which is on the east side
.The terrain is complicated and hard to transport in contact with, the capital of Myanmar as granite Arakan is a virtual wall separates from the outside world. Make ชาวยะไข่ with the lifestyle and way of thinking of the most buzz in Myanmar
.Rakhine state, with a population of about 2 million people in modern England took over run, Rakhine state that the Arakan (Arakan) is the capital name string s (Sittwe)
. The population of Rakhine or Rohingya, mainly Buddhist, is on the south side of the state
.Muslims constitute about 5 00000 people in the north, another one park as Muslims came from Chittagong, the illegal stuff. "โรอิ difficult. "History research a Rohingya

.The โรฮิน hot is the Muslims living in northern Rakhine (Arakanese) and speak the language โรฮีน JA, academics, some say that they are indigenous people in Rakhine. While many historians said. They are immigrants from Bengal.And some will come in a range of Myanmar gained independence. During the civil war, and in Bangladesh.
.Muslims have come to live in the Arakan since the 15 but were inconclusive. After the war Anglo-Burmese in 1826 England. Controlling the Arakanese and evacuate people from Bengal in labor. The population of Muslim thought.Of the Arakanese at that time (1869), but soon afterwards. Rohingya population increase rapidly. Save and no British population between the years 1872 1991 and has stated that the number of the Muslim population in the Rakhine, from 58 increased.255 people, people 178 646

.During World War II. Violence between the Muslim forces in England. Armed with the ชาวยะไข่ ground city. The conflict to increase in 1982 general newin has coup succeed.