ความเชื่อของชาวอียิปต์
ชาวอียิปต์นับถือบูชาเทพเจ้าหลายองค์ (Polytheism) โดย เชื่อว่าธรรมชาติซึ่งบันดาลความผาสุก ความดีงาม หรือความหายนะให้แก่มนุษย์นั้น เกิดจากการกระทำของเทพเจ้าทั้งสิ้น แต่ละเมืองของอียิปต์จะมีเทพเจ้าประจำเมือง ชาวอียิปต์โบราณเชื่อว่าคนตายแล้วจะกลับคืนชีพมาใหม่เหมือนดวงอาทิตย์ที่หาย ลับขอบฟ้าในยามเย็น และกลับขึ้นมาใหม่ในวันรุ่งขึ้น จากการที่ดวงอาทิตย์มีอิทธิพลต่อวิถีชีวิตของชาวอียิปต์มาก ดังนั้นสุริยเทพนามว่า ”เร” หรือ “รา” (Re or Ra) จึงได้รับการบูชาให้เป็นเทพสูงสุดเหนือเทพทั้งปวงในสมัยราชอาณาจักรเก่า และถือว่าเป็นเทพผู้ประทานความสุข เทพเจ้าแห่งความเป็นอมตะ ใบหน้าเป็นเหยี่ยว มีดวงอาทิตย์อยู่บนศีรษะ บางความเชื่อก็เชื่อว่าเป็นเทพผู้สร้างมนุษย์, เทพอามุนหรืออามอนซึ่งต่อมาก็ได้เป็นสุริยเทพอามอน-เร (Amon Re) หรืออามุน-รา (Amun-Ra) แห่งเมืองธีบส์ (Thebes) เทพเจ้า สูงสุดในสมัยราชอาณาจักรใหม่ มีศีรษะเป็นมนุษย์และสวมหมวกติดขนนกสองเส้น ฟาโรห์ทุกพระองค์ล้วนถือว่าเป็นโอรสแห่งสุริยเทพที่ถูกส่งมาปกครองโลกมนุษย์
เทพเกป (Geb) เป็นเทพเจ้าแห่งพื้นโลก โดยมีนัท (Nut) เป็นชายาซึ่งเป็นเทพีแห่งท้องฟ้า ทั้งสองมีโอรส 2 องค์และธิดา 2 องค์คือ โอซิริส (Osiris) เทพแห่งความดี และไอซิส (Isis) เทพีผู้ปกป้องคุ้มครองเด็กๆ และเป็นชายาของโอซิริสด้วย เซธ (Seth) เทพแห่งความชั่ว และเนฟตี้ (Nephthys) เทพีแห่งสตรี
เทพ โอซิริสเป็นเทพเจ้าที่ชาวอียิปต์นับถือมากที่สุด พอๆ กับเทพราหรือสุริยเทพ โอซิริสได้แบ่งภาคมาเกิดเป็นมนุษย์และกษัตริย์ของอียิปต์ ทรงมีเทพีไอซิสเป็นทั้งน้องสาวและชายา และมีโอรสคือเทพฮอรัส (Horus) ทั้งสองพระองค์ปกครองแผ่นดินด้วยความสงบสุขมาช้านาน สร้างความอิจฉาริษยาให้แก่เทพเซธซึ่งเป็นพระอนุชา จนในที่สุดวันหนึ่งได้วางแผนให้โอซิริสลงไปนอนในโลงศพ จากนั้นก็ปิดฝาโลงเอาใส่เรือโยนลงไปในแม่น้ำไนล์ แล้วสถาปนาตนเองขึ้นเป็นกษัตริย์ปกครองอียิปต์ ส่วนเทพีไอซิสได้ออกติดตามหาศพของพระสวามี เพราะวิญญาณของพระองค์จะไม่สามารถขึ้นสู่สรวงสวรรค์ได้หากไม่ได้รับการ ประกอบพิธีตามประเพณี ต่อมาเทพีไอซิสก็ตามไปจนพบโลงศพใกล้เมืองบิบลอส (ปัจจุบันอยู่ในประเทศเลบานอน) แต่เซธได้ตามมาทันและหั่นร่างของโอซิริสเป็น 14 ส่วน นำไปโยนไว้ทั่วอียิปต์ แต่เทพีไอซิสก็ใช้ความพยายามอยู่หลายปีกว่าจะตามหาชิ้นส่วนมาได้ครบ และประกอบพิธีฝังศพโอซิริสบนเกาะฟิเลอันศักดิ์สิทธิ์ ทำให้วิญญาณของพระองค์เข้าสู่แดนมรณะได้ กลายเป็นเทพเจ้าผู้ตัดสินความตายและการกลับฟื้นคืนชีพ ส่วนเทพฮอรัสได้ทำสงครามกับเซธ สุดท้ายก็สามารถสังหารเซธและขึ้นครองราชย์ปกครองแผ่นดินด้วยความสงบสุข ถือว่าเทพฮอรัสเป็นเทพเจ้าองค์สุดท้ายที่แปลงร่างมาเป็นกษัตริย์ปกครอง อียิปต์ก่อนที่จะให้มนุษย์ปกครองกันเอง
ตลอดระยะเวลา 5000 ปี เทพโอซิริสผู้มีลักษณะเหมือนกษัตริย์ มีเครา ถือแส้และคทาหัวขอ เทพี ไอซิสผู้มีรูปร่างเป็นสตรี สวมหมวกรูปบัลลังก์ และเทพฮอรัสผู้มีศีรษะเป็นเหยี่ยว ได้รับความนับถือสูงสุด และกลายเป็นประเพณีว่า ฟาโรห์ผู้สิ้นพระชนม์ก็คือเทพโอซิริส ราชินีคือเทพีไอซิส เห็นได้จากโลงศพของฟาโรห์และราชินีจะแกะสลักเป็นรูปของเทพเจ้าทั้งสององค์ และพระโอรสที่ขึ้นครองราชย์เป็นฟาโรห์องค์ต่อไปคือเทพฮอรัส ปัจจุบันเทพเจ้าทั้ง 3 องค์ ได้รับการนับถือบูชาอย่างแพร่หลาย โอซิริสยังได้รับการนับถือว่าเป็นผู้คุ้มครองแม่น้ำไนล์และเป็นผู้ตัดสิน วิญญาณทั้งปวงด้วย
ชาวอียิปต์ยังถือว่าสัตว์บางชนิดเป็นที่สิงสถิตของเทพเจ้าองค์ต่างๆ ด้วย จึงบูชาสัตว์เหล่านั้น เช่น
- แมลงสคารับ (scarab) หรือแมงกุดจี่ ถือว่าเป็นเครื่องหมายแห่งชีวิต
- เทพอานูบิส (Anubis) มีศีรษะเป็นสุนัข เทพแห่งความตายผู้ช่วยนำทางวิญญาณของคนตายเดินทางไปยังแดนมรณะเพื่อให้เทพโอ ซิริสตัดสินและทำหน้าที่ปกป้องร่างกายไม่มห้เน่าเปื่อย
- เทพีเฮเธอร์ (Hathors) ธิดาของเทพเร เป็นเทพแห่งความรัก ความเป็นแม่ ศิลปะและดนตรี มีเขาวัวและดวงอาทิตย์แทรกอยู่ตรงกลางบนศีรษะ บางครั้งแสดงเป็นรูปวัวตัวเมีย รวมทั้งเป็นเทพีแห่งความสุข การเต้นรำ เมื่อมีทารกเกิดใหม่ เทพีเฮเธอร์ทั้งเจ็ดองค์จะปรากฏอยู่ที่ข้างเตียงและตัดสินชีวิตอนาคตให้แก่ เด็ก
- เทพธอธ (Thoth) เป็นนกกระสาหรือลิงบาบูน เป็นเทพแห่งความฉลาด และเป็นเทพผู้ให้แสงสว่างหลังจากที่พระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว ซึ่งก็เกี่ยวข้องกับพระจันทร์ด้วย
- เทพทาห์ (Ptah) เทพประจำเมืองเมมฟิส (Memphis) เป็นผู้อุปถัมภ์การช่าง ในนิยายโบราณกล่าวว่าเทพองค์นี้เป็นผู้ให้ชื่อสรรพสิ่งต่างๆ ในโลก และเป็นผู้ทำให้สิ่งนั้นๆ เกิดขึ้นด้วย
- เทพโซเบค (Sobek) เป็นจระเข้ ได้รับการนับถือตามเมืองที่มีแหล่งน้ำเช่นแถบโอเอซิส
ฯลฯ
ชาวอียิปต์เชื่อในเรื่องชีวิตหลังความตาย โดยเชื่อว่าวิญญาณ หรือ “คา” (ka) เป็นสิ่งที่ไม่สูญ จะกลับเข้าร่างฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง จึงมีการทำศพอาบน้ำยา (mummy) ไว้ ในสุสาน เพื่อรักษาร่างกายไม่ให้เน่าเปื่อยผุพัง ผู้ที่มีฐานะดีทุกคนจะมีห้องเก็บศพของตน บรรดาญาติผู้ตายจะทำรูปผู้ตายสลักด้วยไม้บ้าง ปั้นด้วยดินบ้าง หรือหล่อด้วยทองคำ บรรจุไว้เป็นจำนวนมาก ฝาโลงศพสลักรูปผู้ตายโดยเชื่อว่าถ้าร่างมัมมี่สูญหายหรือถูกทำลายไป “คา” หรือวิญญาณจะไม่สามารถกลับเข้าร่างได้ ดังนั้นจึงต้องมีรูปสลัก รูปปั้น หรือรูปหล่อเหล่านี้ อันเปรียบเสมือนตัวแทนของผู้ตายไว้แทน วิญญาณก็จะกลับมาใช้รูปเหล่านั้นเป็นประโยชน์ได้ ภายในสุสานจะมีอาหารและเครื่องดื่ม มีเทวรูปไว้บูชา มีรูปญาติพี่น้องไว้คุยด้วย มีรูปข้าทาสบริวารไว้ใช้สอย ตามผนังสุสานเขียนภาพจิตรกรรมหรือสลักภาพประติมากรรมประดับไว้
ชาวอียิปต์เชื่อว่าเมื่อตายไปแล้วทุกคนมีฐานะเท่าเทียมกัน เมื่อวิญญาณของผู้ตายได้ออกจากร่างมัมมี่แล้ว เทพอานูบิส ซึ่งเป็นเทพแห่งความตาย ผู้มีรูปร่างเป็นคน ศีรษะเป็นสุนัขจะเป็นผู้ดูแลรักษาศพไม่ให้เน่าเปื่อย และเทพีไอซิสจะมาต้อนรับและพานั่งเรือข้ามแม่น้ำไปสู่แดนมรณะที่ซึ่งมีเทพโอ ซิริส เทพเจ้าแห่งแดนมรณะ เป็นผู้ตัดสินว่าใครจะได้ไปสู่สรวงสวรรค์ โดยมีโอซิริสเป็นประธาน มีตุลาการซึ่งเป็นผู้ช่วยอีก 42 คน วิญญาณจะต้องให้การตามความสัตย์จริง เมื่อสิ้นคำให้การ เทพอานูบิสก็จะนำหัวใจไปชั่งกับตาชั่งแห่งความสัตย์ที่ด้า