Shwedagon stupa (SHWEDAGON PAGODA), or the city of Kong or gold pagoda Ta koeng (formerly of Yangon). Never fade from mind Mon peopleAnd the Burmese Ayeyarwady basin property over a period of millennia ago, ancient but long. This property is called Maha Chedi in the Mon people "that year". People in Thailand called "Phra ketthatu" because within the stupa contains the Phra Buddha Maha Chedi kesa Lord property, the largest of which is up to 326 feet, this property. When first created, it has a height of only 27 feet only.The size and height of the pagoda increased more than ten times, so a strong faith an echo because of the King and the people of Burma and Mon.According to the history. There is no evidence to indicate that the shape of a pagoda, Shwedagon, when first created, but when they are restored and reinforced in the period after the. There is evidence that the influence coming from the University City of Bagan, pagoda chawesi stack is a collection of Buddhist art, last pagan era, the early photographer. Shwedagon Pagoda bells are circular in nature. Chat with Lotus petals is to stumble. Construction is a high circular conical headland to the amount which, when searched, it was found that the arts into the construction of this pagoda Bagan, they took another one coming from the Mon themselves.For the people of Thailand Shine light reflecting element Shwedagon stupa is a grudge stemming from a story that came from nearby temples in Ayutthaya, Myanmar gold dredge. When the second year khrangkrung difference 2310 Shwedagon Pagoda embellish elements however, nobody can find. Evidence comes almost exactlyWith the passage of Time lapse for more than 200 years, through renovation to restore the Maha Chedi counted countless times, but what appears in the document is evidence of the Shwedagon Pagoda, count or Lord ketthatu. Start with more than 1200 years ago when. King of Pegu and Burma in the subsequent almost every he has considered his task. Supplementary elements in pagoda, a large growing as high King, Department of. Phraya Damrong Raja told an image from the first Starting at only 27 feet high, until reaching 326 feet, wide feet, in 1355 present.And the myth that Mrs. Chin in her fairy Prince tala or Sobu mother Pegu kasattri nationals owner. Good girl who occupy the city hung gold as donations. Himself to reconstruct the stupa became a tradition that King derived all his practice. .นอกจากนั้น ยังมีหลักฐานการบูรณะชเวดากองครั้งใหญ่อีกครั้ง ในสมัยพระเจ้ามังระ หรือ อลองพญามหาราช ผู้กรีฑาทัพไปตีกรุงศรีอยุธยาแตกครั้งที่สอง เมื่อ ปี 2310 อันอาจเป็นเหต ุให้เกิดข้อสันนิษฐานที่ยากจะพิสูจน์ได้แน่ชัดว่า พม่าลอกทองจากกรุงศรีอยุธยา มาบูรณะชเวดากอง อย่างไรก็ตาม จนถึงปัจจุบัน มหาเจดีย์ ชเวดากองมีทองคำโอบหุ้ม อยู่เป็นน้ำหนักถึง 1,100 กิโลกรัม โดยช่างชาวพม่าจะใช้ทองคำแท้ตีเป็นแผ่น เรียงปิดองค์เจดีย์ไว้รอบองค์ (สังเกตจาก รอยต่อของแผ่นทองคำ ซึ่งมิได้ผสานเป็นเนื้อเดียว แต่จะเป็นแผ่น ๆ มาเรียงต่อกัน) ครั้นเมื่อแผ่นทองหมองคล้ำก็จะแกะถอดออกมาขัดล้างปีละครั้ง เป็นประเพณีสืบเนื่องกันตลอด จนทำให้ชเวดากองเป็นมหาเจดีย์ทองคำที่สุกปลั่งวาวงามอยู่เป็นนิรันดร์ฉัตรทององค์ใหญ่บนยอดเจดีย์ชเวดากอง เคยหักตกลงมาหลายครั้งเพราะเกิดแผ่นดินไหว ครั้งที่มีการบูรณะ ฉัตรครั้งสำคัญ คือในสมัยพระเจ้ามินดงปกครองเขตพม่าเหนือใน ขณะที่ย่างกุ้งและพม่าใต้ตกเป็นของอังกฤษแล้ว (ตรงกับปลายรัชกาลที่ 4ต่อต้นรัชกาลที่ 5 ของไทย) พระเจ้ามินดงจึงทรงพยายามรวมจิตใจชาวพม่าเป็นหนึ่งเดียว กันด้วยการเรี่ยไรกันปฏิสังขร์ชเวดากอง โดยทรงบริจาคพระราชทรัพย์เพื่อสร้างฉัตรขึ้นใหม่ จนล่ำลื่อกันว่ายอดฉัตร แห่งชเวดากองนั้น ประดับด้วยเพชรพลอยอัญมณีล้ำค่า คิดเป็นราคาถึงกว่า 62,000 ปอนด์ ในสมัยนั้น โดยเฉพาะที่ยอดเจดีย์ ประดับเพชรเม็ดใหญ่ที่มีน้ำหนักถึง 76.6 กะรัต และที่ขอบฉัตร ประดับระฆังใบเล็กไว้ถึง 50,000ใบทีเดียว ทว่าพระองค์ก็ทรงถูกอังกฤษดูแคลน ด้วยการไม่อนุญาตให้พระองค์จัดขบวนแห่แหนฉัตรทอง จากราชธานีของพระองค์ที่กรุงมัณฑะเลย์มายังกรุงย่างกุ้ง ดังกล่าวมาแล้ว รอบ ๆ องค์พระเจดีย์ชเวดากอง เป็นลานกว้างที่รองรับแรงศรัทธาของ พุทธศาสนิกชนได้จำนวนมากบริเวณทางขึ้นทั้งสี่ทิศ จะมีวิหารโถงสร้างด้วยเครื่องไม้หลังคาทรงปราสาท ปิดทองล่องชาดประดับกระจกทั้งหลัง ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปเป็นประธาน สำหรับให้ประชาชนมากราบไหว้บูชามหาเจดีย์ ชเวดากอง ซึ่งสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพมีพระนิพนธ์ว่าเป็นฝีมือจำหลักลวดลายลงบนไม้ของช่างพม่าที่วิจิตรพิส ดารมาก แม้ว่าจะเคยเกิดไฟไหม้ แล้วมีการสร้างขึ้นใหม่ได้ไม่สวยเท่าเดิมทว่าก็ยังคงความงดงามอลังการปรากฏอยู่ไม่น้อย ขั้นตอนการกราบไหว้บูชามหาเจดีย์ชเวดากอง ตามแบบที่ชาวพุทธนิยมกันก็จะดำเนินไปตามนี้คือชาวพม่าถือการกราบไหว้บูชา เจดีย์ชเวดากองเป็นนิตย์ จะนำมาซึ่งบุญกุศล อันเป็นหนทางสู่การหลุดพ้นจากทุกข์โศกโรคภัยทั้งมวล บ้างมานั่งทำสมาธิเจริญสติภาวนานับลูกประคำ และบ้างก็มาเดิน ประทักษิณารอบองค์เจดีย์ ทว่า ชาวพม่าบางคนเชื่อว่าสุดยอดของการบูชาคารวะมหาเจดีย์ชเวดากอง คือการนั่งเจริญสมาธิเพ่งมองดวงตะวันเป็นเวลานานอันเป็นความเชื่อตามพุทธตำนานที่ว่า พระพุทธเจ้าเคยเสวยชาติเป็นนกยูง ทุก ๆ วันก่อนจะออกจากรัง ก็จะเพ่งมองดวงตะวัน พร้อมกับสวดมนต์คาถาให้แคล้วคลาดจากบ่วงนายพรานด้วยเหตุนี้ชาวพม่าจึงเชื่อสืบต่อ กันมาว่า การนั่งทำสมาธิเพ่งมองแสงพระอาทิตย์ตลอดวัน จะทำให้จิตใจ หลุดพ้นจากบ่วงทุกข์อันหนักอึ้งได้ โดยเฉพาะในยาม ที่รัฐบาลทหารพม่าปกครองประเทศโดยจำกัดสิทธิเสรีภาพ ทางการเมือง การนั่งทำสมาธิเบื้องหน้าชเวดากอง จึงเป็นหนทาง ผ่อนคลายของจิตใจได้ทางหนึ่ง
การแปล กรุณารอสักครู่..