1. ติดตามข่าวสารและเหตุการณ์อย่างใกล้ชิดเพื่อนำมาวิเคราะห์ถึงสถานการณ์ปัจจุบันว่ามีผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวค่าเงินอย่างไร ซึ่งจะช่วยทำให้เราสามารถคาดการณ์ทิศทางค่าเงินในระยะสั้นเพื่อวางเป้าหมายว่าจะเข้าซื้อขายค่าเงินที่ระดับใด หรือในกรณีทำการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนจะช่วยให้เราพิจารณาถึงสัดส่วนของระดับการป้องกันความเสี่ยงจากค่าเงิน และระยะเวลาของการป้องกันความเสี่ยงจากค่าเงินในสัญญาซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า ยกตัวอย่างเช่น ณ ปัจจุบันประเทศในกลุ่มยูโรประสบปัญหาขาดดุลการคลังจากการมีหนี้สินของรัฐบาลที่สูง ทำให้ตลาดและนักลงทุนขาดความมั่นใจในสถานะการเงินของกลุ่มประเทศขนาดเล็กในกลุ่มยูโร ส่งผลให้ลดการถือครองเงินยูโร ซึ่งเราอาจวิเคราะห์ได้ว่าค่าเงินยูโรมีแนวโน้มอ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐอเมริกา (สรอ.) ดังนั้นหากเรามีรายรับเป็นสกุลเงินยูโรก็ควรจะขาย หรือในอีกแง่หนึ่งก็ควรจะทำการป้องกันความเสี่ยงค่าเงินยูโรเทียบกับดอลลาร์สรอ.โดยอาจทำสัญญาขายเงินยูโรล่วงหน้าระยะสั้น เช่น 2 หรือ 3 เดือน หากเราคาดว่าค่าเงินยูโรจะยังคงมีแนวโน้มอ่อนค่าต่อได้อีกในระยะสั้น
2. อ่านงานวิจัยหรือบทความที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งจะเป็นเครื่องมือตัวหนึ่งที่ให้ข้อมูลเพื่อการคาดคะเนระดับค่าเงิน แม้ว่าจะไม่มีงานวิจัยหรือบทความใดที่จะสามารถบอกหรือพยากรณ์ระดับค่าเงินที่แน่นอนนั้นได้ แต่สิ่งหนึ่งที่จะช่วยเราได้นั้นคือการบอกแนวโน้มทิศทางการเคลื่อนไหวของค่าเงินสกุลนั้นๆ (Trend) และข้อมูลในอดีต เพื่อใช้เป็นข้อมูลเบื้องต้นในการประกอบการตัดสินใจในการซื้อขายค่าเงินนั้น หรือเพื่อใช้ในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนให้แก่ธุรกิจ เพื่อให้เกิดผลประโยชน์สูงสุดต่อธุรกิจหรือการลงทุนได้ ซึ่งงานวิจัยหรือบทความส่วนใหญ่จะเขียนโดยทีมวิเคราะห์ของธนาคารซึ่งจะบริการให้ลูกค้าบริษัทหรือลูกค้าสถาบัน และงานวิจัยหรือบทความก็จะมีการเปลี่ยนแปลงตามภาวะตลาดหรือตามปัจจัยใหม่ที่เข้ามากระทบต่อการเคลื่อนไหวค่าเงินซึ่งเราควรจะมีการติดตามสม่ำเสมอ
3. ตั้งเป้าหมายระดับค่าเงินเพื่อทำการซื้อหรือขาย หรือเพื่อบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเมื่อเราคาดคะเนแนวโน้มค่าเงินนั้นได้ แต่โดยส่วนใหญ่ธรรมชาติของมนุษย์มักจะเกิดความลังเลและไม่กล้าตัดสินใจเมื่อค่าเงินเปลี่ยนแปลงถึงระดับที่ตั้งไว้ กฎข้อนี้จึงเป็นข้อที่ยากและเป็นข้อที่สำคัญมากสำหรับนักลงทุนที่จะต้องมีวินัยในการปฏิบัติ เช่น กรณีค่าเงินเคลื่อนไหวในทิศทางที่เราคาดไว้ และเราอยู่ในสถานะที่ได้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน เมื่อค่าเงินเคลื่อนไหวถึงระดับเป้าหมายที่ตั้งไว้เราก็ควรจะซื้อหรือขายเพื่อล็อคผลกำไรส่วนเพิ่มจากค่าเงิน ซึ่งเราอาจจะเลือกทำบางส่วนหากเราคาดว่าค่าเงินยังคงเคลื่อนไหวในทิศทางนั้นต่อและเป็นผลกำไรต่อเรา แต่ในทางกลับกันเราก็ควรจะมีการตั้งเป้าหมายค่าเงินสำหรับกรณีที่ค่าเงินเกิดมีการเคลื่อนไหวในทิศทางตรงกันข้ามเพื่อหยุดการขาดทุนจากความผันผวนของค่าเงินได้เช่นกัน ซึ่งเมื่อค่าเงินเคลื่อนไหวถึงระดับที่ตั้งไว้ ก็ควรที่จะปฏิบัติตามนั้นว่าจะซื้อหรือขายเพื่อหยุดการขาดทุน
4. ควรคำนึงว่าการได้กำไรบนการเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยนเป็นเพียงผลประโยชน์รอง มิใช่ผลประโยชน์หลักของธุรกิจหรือการลงทุน หากผู้ลงทุนหรือบริษัทเปิดช่องเพื่อจะทำกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนมากเกินไปอาจทำให้ขาดทุนในส่วนกำไรหลักของการลงทุนได้ เนื่องจากในตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศจะมีผู้เล่นรายใหญ่ที่เป็นนักเก็งกำไรซึ่งแสวงหาส่วนต่างของราคาเงินตราในตลาดต่างๆ โดยจะคอยหาจังหวะทำกำไรจากความไม่สมดุลของราคา จึงอาจทำให้ค่าเงินมีความผันผวนมากและอาจทำให้นักลงทุนรายย่อยมีโอกาสสูญเสียได้มากกว่า และยิ่งสูญเสียมากขึ้นหากนักลงทุนหรือบริษัทเก็งกำไรเกินกว่าพอร์ตการลงทุนของตน ด้วยเหตุนี้ เราควรป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนอย่างน้อยในระดับหนึ่งหรือทั้งหมด เพื่อปิดความเสี่ยงและมุ่งทำกำไรจากธุรกิจหลักหรือการลงทุนหลักของตน
หากนักลงทุนเริ่มต้นด้วยความไม่ประมาท โดยหาข้อมูลและศึกษาการเคลื่อนไหวของค่าเงินก่อนการลงทุนก็จะช่วยในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน รวมทั้งอาจจบลงด้วยการสร้างกำไรส่วนเพิ่มให้แก่ธุรกิจและพอร์ตการลงทุนของตนได้