เราเชื่อกันว่านํ้าหอมนั้น เกิดขึ้นม

เราเชื่อกันว่านํ้าหอมนั้น เกิดขึ้นมานานแล้ว จากหลักฐานภาพวาดจิตรกรรม ฝาผนังตอนหนึ่งที่วิหารของพระราชินี Hatshepsut ที่เมือง Thebes ในประเทศ Egypt ที่เป็นรูปของหญิงสาวชาวอิยิปต์โบราณกำลังโชลม นํ้าหอมลงบนศรีษะ ซึ่งได้แสดงให้เห็นว่ามีการใช้นํ้าหอม กันแล้วในยุคนั้น ซึ่งคาดว่านักเดินเรือชาวอิยิปต์ได้ไปนำมาจาก ดินแดนอื่น นํ้าหอมในสมัยโบราณนั้นจะทำมาจากยางไม้หอม ซึ่งยางไม่หอมแบบนี้จะมีอยู่ที่ Arabia และ Somalia เท่านั้น คำว่า "Perfume" นี้มีรากศัพท์มาจากภาษา ละติน ที่แปลว่า "ควัน" ในกรีก (Greek) โบราณคนที่ทำนํ้าหอมนั้นจะเป็นผู้หญิง ซึ่งได้ปรับปรุง มรดกการทำนํ้าหอมที่ตกถอดมาจากชาวอียิปต์โบราณให้พัฒนาดีขึ้นไป ในช่วงเวลาของจักรวรรดิโรมัน (Roman) การทำนํ้าหอมเขาจะใช้ยางไม้หอม จากต้นไม้จำพวก Boswellia โดยสั่งนำเข้ามาจาก Arabia และได้บวกกับส่วนผสม ที่ได้มาจากทะเลจากประเทศอินเดียซึ่งเป็นส่วนผสมใหมที่ใส่ลงไปในการทำนํ้า หอม ของชาวโรมันในสมัยนั้น เศรษฐีชาวโรมันจะใช้นํ้าหอมตามความพอใจ ชนิดที่เรียกได้ว่าใช้แบบล้างผลาญ เลยก็ว่าได้ นั่นก็คือ พวกเศรษฐีเหล่านี้จะเอานํ้าหอมไปพ่นและฉีดตามพื้นและกำแพง บ้านของตัวเอง และนอกจากนี้ยังนำนํ้าหมไปฉีดให้กับสัตว์เลี้ยงของบรรดาเศรษฐี อีกด้วยไม่ว่าจะเป็น สุนัข และ ม้า แต่ก้าวสำคัญในประวัติศสาตร์ของนํ้าหอม แล้วนั้นจะเกิดขึ้นในยุคกลาง (Middle ages) เมื่อชาวอาหรับ (Arabs) ได้คิดค้นพัฒนา เทคนิคในการ กลั่นนํ้าหอมได้เป็นผลสำเร็จ พื้นที่ ขนาดใหญ่โตของอาณาจักรเปอร์เซีย ได้ทำการ ปลูกดอกกุหลาบ เพื่อที่จะนำมาสกัดเป็นนํ้าหอม เนื้อที่ที่ใช้ปลูก ดอกกุหลาบนี้ใหญ่โตมหาศาล มาก จนถึงกับมี เรื่องเล่าขานกันว่า "กรุง Baghdad" (เมืองหลวงของประเทศอิรักในปัจจุบัน) ในสมัยนั้นได้สมญานาม ที่เรียกขานกันว่า "City of Fragrances" นอกจากนี้ชาวอาหรับยังได้ค้นพบ ส่วนผสมตัวใหม่ในการทำ นํ้าหอมอีกด้วยนั่นก็คือ สารที่ได้จากตัวชะมด หรือ กลิ่น ชะมดนั่นเอง ชาวอาหรับได้นำเจ้ากลิ่นชะมดนี้ไปผสมกับปูนขาว และพวกเขาก็นำ ปูนขาวที่ได้นี้ไปใช้สร้างสุเหร่า (Mosque) และพระราชวัง ซึ่งก็ทำให้ได้สุเหร่า และพระราชวังที่มีกลิ่นหอมไปทั่วทั้งเมือง และนี่คืออีกหนึ่งที่มาจากเรื่องเล่าถึงคำว่า "City of Fragrances" นั่นเอง
ในช่วงสมัยของ Crusaders ได้นำเครื่องหอมจาก อาหรับไปให้ชาวยุโรปได้รู้จัก แต่สำหรับก้าวแรกของนํ้าหอม ในยุโรปนั้นเริ่มจริงๆก็ในศตรวรรษที่ 16 เมื่อ แคทเธอรีน เดอ เมคิชี่ (Catherine de Medici) มาที่ประเทศ Italy เพื่อที่จะแต่งงานกับอนาคตกษัตริย์ในช่วงนั้น จากนี้ไปนํ้าหอม ก็พัฒนาไปเรื่อยๆ จนกระทั่งในต้นศตรวรรษที่ 19 ได้มีนักเคมีได้ทำการสังเคราะห์นํ้าหอมจาก สารเคมีจนได้กลิ่น ต่างๆ มากมายหลายพันกลิ่น จนกระทั่งนํ้าหอมได้กระจายไปทั่ว จนเป็นอุตสาหกรรม ขนาดใหญ่อย่างที่เห็นในปัจจุบัน Ingredients-กลิ่นน้ำหอมผู้คนส่วนใหญ่มักจะคิดว่า กลิ่นของนํ้าหอมที่ได้จากต้นไม้นั้น มักจะมาจากดอกไม้ แต่น่าประหลาดใจมาก ส่วนอื่นๆของต้นไม้นั้น เราก็นำมาใช้ทำนํ้าหอมได้ ไม่ว่าจะเป็น ลำต้น ใบไม้ เนื้อไม้ ผล เมล็ด เปลือก และ ยางไม้ นอกจากส่วนต่างๆที่กล่าวมานี้นั้น

เรา มาทำความรูจักกับชนิดของต้นไม้ ที่คนปรุงนํ้าหอมเขานำมาใช้ใน การทำนํ้าหอม ที่นิยมนำมาใช้มากในอันดับต้นๆ ดังนี้
- Balsam : เป็นยางไม้หอมชนิดหนึ่ง ที่มีลักษณะคล้ายขี้ผึ้ง Balsam ที่นิยมในแวดวง การผลิตเครื่องหอม ในปัจจุบันเป็นอันดับต้นๆ ก็คือ Balsam จากประเทศ เปรู
- Bergamot : ก็คือ ต้นมะกูดนั่นเอง ส่วนของมะกูดที่ใช้สกัด ทำมํ้าหอมก็คือ บริเวณเปลือก ของลูกมะกูดนั่นเอง กิ่นหอมที่สกัดจากผิวของลูกมะกูดนี้ส่วนใหญ่ จะนำไปใช้ใน นํ้าหอมสำหรับผู้หญิง
- Frankincense :เป็นยางไม้หอมจากต้นไม้จำพวก Boswellia เจ้าต้น Boswellia เป็นต้นไม้ขนาดเล็ก ที่เจริญเติบโตทางตอนใต้ของ Arabia และ Somalia ซึ่งยางไม้ชนิดนี้ เป็นส่วนสำคัญมาก ในการทำเครื่องหอม สมัยอณาจักรโรมันโบราณ ในปัจจุบันเราใช้ Frankincense เป็นส่วนผสมของ นํ้าหอมสมัยใหม่ถึง 13%
- Galbanum :เป็นยางไม้ของ ต้นยี่หร่า จากประเทศ Iran เจ้า Galbanum จะมีกลิ่นหอม ออกไปทาง Spicy
- Jasmine : ต้นมะลิใช้เป็นส่วนผสมหลัก ของนํ้าหอมในปัจจุบันมากกว่า 80 % เป็นรองก็ แค่ดอกกุหลาบ พันธุ์ของมะลิที่นิยมใช้ในการทำนํ้หอมก็คือ มะลิจากประเทศสเปน หรือที่เรียกกันว่า Royal Jasmine ซึ่งใช้มากที่สุดในยุโรป มาตั้งแต่ศตรวรรษที่ 16 แล้ว Royal Jasmine นี้จะเป็น ส่วนผสม ในการทำนํ้าหอม ที่แพงที่สุด เพราะว่า จากมะลิ 500 ปอนด์ จะกลั่นออกมาใช้ทำนํ้าหอม ได้แค่เพียง 0.1 % เท่านั้น
- Labdanum : เป็นหยดเล็กๆ ของยางไม้จากใบของต้น Cistus ที่ขึ้นอยู่ ในตะวันออกกลาง เราใช้ยางไม้ชนิดนี้ถึง 33% ในการทำนํ้าหอมในปัจจุบัน
- Lavender : เป็นส่วนผสมหลัก ในการทำนํ้าหอมมานานแล้ว นับตั้งแต่สมัย กรีก - โรมัน โบราณ ครั้งหนึ่งในประเทศ ฝรั่งเศส เคยปลูกต้น Lavender นี้ถึง 5,000 ตัน ต่อปีมาแล้ว
- Lemon : ผิวของผลมะนาว เป็นส่วนผสมที่จำเป็น ในการทำนํ้าหอม ที่ต้องการให้ได้กลิ่นหอม ที่สดชื่น สดใส มีชีวิตชีวา
- Lily of the Valley : ในช่วงเริ่มแรกของการทำนํ้าหอมนั้น เราได้ กลิ่นหอมของดอก Lily โดยการใส่ดอก lily ลงไปในนํ้ามัน แต่ในปัจจุบัน เราใช้กรรมวิธีที่ทันสมัย โดยการสกัดเอากลิ่นหอมของ lily ออกมา ด้วยเครื่องมือที่ทันสมัย เราใช้ lily เป็นส่วนผสมในการทำนํ้าหอม ประมาณ 14 % ในปัจจุบัน
- Myrrh : เป็นยางไม้จากต้น Myrrh ซึ่งพบได้ใน Arabia, Somalia และ Ethiopia ในสมัยโบราณ เขาใช้ยางไม้ชนิดนี้ทำเป็นยาสมุนไพร และ ใช้ทำ นํ้ายา ดองศพ แต่ในปัจจุบัน นักปรุงนํ้าหอมบอกว่า คุณสมบัติที่เด่นของ Myrrh นี้คือ มันเป็นตัวช่วยให้ กลิ่นของนํ้าหอม ติดร่าางกายทนนานยิ่งขึ้น เพราะมันมีสารที่ทำให้ นํ้าหอม ระเหยไปในอากาศ ช้าลงนั่นเอง
- Neroli : ได้จากการกลั่น จากดอกของต้นส้ม ชื่อ Neroli นี้ได้มาจากในช่วง หลังศตรววรษที่ 16 โดยภรรยาของ เจ้าชายของ อิตาลีคนหนึ่ง ใช้ Neroli ผสมในนํ้า ที่เธออาบ ทำให้กลิ่นหอม นี้เริ่มเป็นที่แพร่หลายในยุโรป แต่จริงๆแล้ว Neroli เข้ามาในยุโรปนานแล้ว ตั้งแต่ศตรวรรษที่ 12 โดยชาว อาหรับเป้นผู้นำเข้ามา ในปัจจุบันใช้เป้นส่วนผสม ในการทำนํ้าหอมถึง 12%
- Oak Moss : เป็น Lichen ที่อยู่ตาม ต้นโอ๊ก ต้นสน และต้นไม้อื่นๆ ในแถบเถือกเขา ทางเหนือ ของแอฟริกา และ ยุโรป เราใช้ oak moss เป็นตัวที่ยึด กลิ่นหอมของนํ้าหอมไว้ ไม่ให้ระเหยไปเร็ว

ผลลัพธ์ (ฝรั่งเศส) 1:

Nous croyons que ce parfum, il se produit pendant une longue période. D'après la preuve de la peinture Un mur à l'un du Temple de la Reine Hatshepsut à la ville de Thèbes en Egypte, qui est une photo d'une jeune femme égyptienne étant cholom exfolier sur le parfum, qui a montré que le parfum est utilisé. Et à l'époque où les marins sont censés aller en Égypte, prélevés sur un autre territoire. Parfum dans l'antiquité, il est fait de bois odeur de caoutchouc. Ce n'est pas une odeur de caoutchouc, qui est basé en Arabie et en Somalie seulement. Le mot « Parfum » est la racine des mots dérivés du Latin qui signifie « fumée » en grec (grec) était un ancien peuple qui fait des parfums, ce sont les femmes qui ont été mis à jour. Héritage pour faire le parfum de l'ancien peuple d'Égypte fissuration tombent, meilleur développement. Au moment de l'Empire romain (Roman) pour faire le parfum, il utilise l'odeur de résine. Dans l'arborescence de Boswellia, comme en commandant importés d'Arabie et avec des ingrédients de la mer de l'Inde, qui est un nouvel ingrédient qui est mis dans la prise des parfums des Romains sous le règne du peuple romain est millionnaire parfum selon satisfaction. Le type qui s'appelle à l'aide d'un dévastateur sur le passé, que ce soit pour enlever ces parfums riches au vaporisateur et pulvériser sur le sol et les murs. Leur propre maison et aussi apporter de l'eau injection hompai, avec ces millionnaire ainsi que les chiens et les chevaux, mais c'est une étape importante dans l'histoire de la sasat de parfum, et il se produit à l'âge mûr (moyen âge), où arabes (arabes) ont mis au point une technique de raffinage dans le parfum.Audrey succès. Une grande partie du Royaume Perse roses plantations ont été effectuées afin de mettre la bite comme un parfum. Utilisation de l'espace ce formidable grandes roses poussent beaucoup jusqu'à ce que l'y est une histoire qui dit "à Bagdad" (la capitale du pays, aujourd'hui l'Iraq) Dedans le nom de code appelle cela « La ville des parfums » en outre, les arabes ont été découverts. Un nouvel ingrédient dans les parfums aussi bien, que c'est la substance qui provient d'une civette ou le musc eux-mêmes. Arabes ont apporté le propriétaire ce musc mélangé avec de la chaux, et qu'ils apportent. La chaux a été utilisée pour générer cette mosquée (Mosquée) et palais, mosquées, Palais et le parfumé dans toute la ville. Et voici un autre qui vient d'une histoire à travers les mots « Ville des parfums » eux-mêmes. Sous le règne des croisés apportés mille parfums de, les européens ont connu, mais pour la première étape du parfum. En Europe, il commence vraiment à la sot ruanrot à 16 quand Katherine de Menorca (Catherine de Médicis) Qi Ki est venu en Italie pour épouser le futur roi dans la gamme. À l'avenir, le parfum a été développé jusqu'à ce que la sot ruanrot XIXe a fait chimistes parfums synthétiques de l'odeur chimique jusqu'au. Plusieurs milliers d'odeurs. Jusqu'à ce que le parfum s'est répandu jusqu'à devenir une énorme industrie qui est actuellement visible, parfum, personnes ingrédients parfum plus tendent à penser que l'odeur du parfum des arbres proviennent souvent de fleurs, mais beaucoup de surprises. Autres parties de l'arbre, nous avons utilisé pour parfum. Que ce soit le tronc Les feuilles et l'écorce donnent résine de grain de bois En plus des pièces qui sont mentionnées dans le présent. เรา มาทำความรูจักกับชนิดของต้นไม้ ที่คนปรุงนํ้าหอมเขานำมาใช้ใน การทำนํ้าหอม ที่นิยมนำมาใช้มากในอันดับต้นๆ ดังนี้ - Balsam : เป็นยางไม้หอมชนิดหนึ่ง ที่มีลักษณะคล้ายขี้ผึ้ง Balsam ที่นิยมในแวดวง การผลิตเครื่องหอม ในปัจจุบันเป็นอันดับต้นๆ ก็คือ Balsam จากประเทศ เปรู- Bergamot : ก็คือ ต้นมะกูดนั่นเอง ส่วนของมะกูดที่ใช้สกัด ทำมํ้าหอมก็คือ บริเวณเปลือก ของลูกมะกูดนั่นเอง กิ่นหอมที่สกัดจากผิวของลูกมะกูดนี้ส่วนใหญ่ จะนำไปใช้ใน นํ้าหอมสำหรับผู้หญิง- Frankincense :เป็นยางไม้หอมจากต้นไม้จำพวก Boswellia เจ้าต้น Boswellia เป็นต้นไม้ขนาดเล็ก ที่เจริญเติบโตทางตอนใต้ของ Arabia และ Somalia ซึ่งยางไม้ชนิดนี้ เป็นส่วนสำคัญมาก ในการทำเครื่องหอม สมัยอณาจักรโรมันโบราณ ในปัจจุบันเราใช้ Frankincense เป็นส่วนผสมของ นํ้าหอมสมัยใหม่ถึง 13%- Galbanum :เป็นยางไม้ของ ต้นยี่หร่า จากประเทศ Iran เจ้า Galbanum จะมีกลิ่นหอม ออกไปทาง Spicy- Jasmine : ต้นมะลิใช้เป็นส่วนผสมหลัก ของนํ้าหอมในปัจจุบันมากกว่า 80 % เป็นรองก็ แค่ดอกกุหลาบ พันธุ์ของมะลิที่นิยมใช้ในการทำนํ้หอมก็คือ มะลิจากประเทศสเปน หรือที่เรียกกันว่า Royal Jasmine ซึ่งใช้มากที่สุดในยุโรป มาตั้งแต่ศตรวรรษที่ 16 แล้ว Royal Jasmine นี้จะเป็น ส่วนผสม ในการทำนํ้าหอม ที่แพงที่สุด เพราะว่า จากมะลิ 500 ปอนด์ จะกลั่นออกมาใช้ทำนํ้าหอม ได้แค่เพียง 0.1 % เท่านั้น- Labdanum : เป็นหยดเล็กๆ ของยางไม้จากใบของต้น Cistus ที่ขึ้นอยู่ ในตะวันออกกลาง เราใช้ยางไม้ชนิดนี้ถึง 33% ในการทำนํ้าหอมในปัจจุบัน- Lavender : เป็นส่วนผสมหลัก ในการทำนํ้าหอมมานานแล้ว นับตั้งแต่สมัย กรีก - โรมัน โบราณ ครั้งหนึ่งในประเทศ ฝรั่งเศส เคยปลูกต้น Lavender นี้ถึง 5,000 ตัน ต่อปีมาแล้ว- Lemon : ผิวของผลมะนาว เป็นส่วนผสมที่จำเป็น ในการทำนํ้าหอม ที่ต้องการให้ได้กลิ่นหอม ที่สดชื่น สดใส มีชีวิตชีวา
- Lily of the Valley : ในช่วงเริ่มแรกของการทำนํ้าหอมนั้น เราได้ กลิ่นหอมของดอก Lily โดยการใส่ดอก lily ลงไปในนํ้ามัน แต่ในปัจจุบัน เราใช้กรรมวิธีที่ทันสมัย โดยการสกัดเอากลิ่นหอมของ lily ออกมา ด้วยเครื่องมือที่ทันสมัย เราใช้ lily เป็นส่วนผสมในการทำนํ้าหอม ประมาณ 14 % ในปัจจุบัน
- Myrrh : เป็นยางไม้จากต้น Myrrh ซึ่งพบได้ใน Arabia, Somalia และ Ethiopia ในสมัยโบราณ เขาใช้ยางไม้ชนิดนี้ทำเป็นยาสมุนไพร และ ใช้ทำ นํ้ายา ดองศพ แต่ในปัจจุบัน นักปรุงนํ้าหอมบอกว่า คุณสมบัติที่เด่นของ Myrrh นี้คือ มันเป็นตัวช่วยให้ กลิ่นของนํ้าหอม ติดร่าางกายทนนานยิ่งขึ้น เพราะมันมีสารที่ทำให้ นํ้าหอม ระเหยไปในอากาศ ช้าลงนั่นเอง
- Neroli : ได้จากการกลั่น จากดอกของต้นส้ม ชื่อ Neroli นี้ได้มาจากในช่วง หลังศตรววรษที่ 16 โดยภรรยาของ เจ้าชายของ อิตาลีคนหนึ่ง ใช้ Neroli ผสมในนํ้า ที่เธออาบ ทำให้กลิ่นหอม นี้เริ่มเป็นที่แพร่หลายในยุโรป แต่จริงๆแล้ว Neroli เข้ามาในยุโรปนานแล้ว ตั้งแต่ศตรวรรษที่ 12 โดยชาว อาหรับเป้นผู้นำเข้ามา ในปัจจุบันใช้เป้นส่วนผสม ในการทำนํ้าหอมถึง 12%
- Oak Moss : เป็น Lichen ที่อยู่ตาม ต้นโอ๊ก ต้นสน และต้นไม้อื่นๆ ในแถบเถือกเขา ทางเหนือ ของแอฟริกา และ ยุโรป เราใช้ oak moss เป็นตัวที่ยึด กลิ่นหอมของนํ้าหอมไว้ ไม่ให้ระเหยไปเร็ว

ผลลัพธ์ (ฝรั่งเศส) 2:

Nous croyons que l'eau est essentielle. Est passé il ya longtemps Preuve de la peinture Les murs du temple de la reine Hatchepsout à Thèbes en Egypte est l'image des femmes de l'Egypte ancienne sont chanceux le vent. Parfum sur sa tête Qui a montré que l'utilisation de parfum. Puis à cette époque Il est prévu que les marins devaient être prises à partir du territoire égyptien antique parfum est fabriqué à partir de la myrrhe. Ce est une résine aromatique Saoudite et la Somalie sont les seuls mots que "Parfums" est dérivé du mot latin pour «fumée» en grec (grec), les anciens faits parfum pour les femmes. La mise à jour Patrimoine fabrication de parfums qui tombent des anciens Egyptiens de développer une meilleure. À l'époque de l'Empire romain (Roman), le parfum qu'il utilise la myrrhe. De les espèces d'arbres Boswellia importés d'Arabie, et est combinée avec le mélange. Dérivé de la mer de l'Inde, qui est un nouveau inséré dans le parfum des Romains dans ces jours. Romains riches à la fragrance que la satisfaction. Le genre qui peut être utilisé avec des effets dévastateurs que ce est là, ce est que les riches ne sont pas vaporisateur de parfum et pulvériser le sol et les murs. Leurs propres maisons Et aussi pour apporter de l'eau pour les animaux injectés avec les riches. Que ce soit avec des chiens et des chevaux, mais une étape importante dans l'histoire de Sre de glace parfum. Puis ce est arrivé dans le Moyen-Age (Les Moyen Age) quand les Arabes (les Arabes) ont développé une technique raffinée parfum a grandi une grande partie de l'empire perse succès a grandi roses. Pour être utilisé pour extraire l'huile essentielle. La superficie ensemencée Ce est passé à l'énorme Goliath veut que "à Bagdad" (la capitale de l'Irak aujourd'hui), en ces jours, le surnom. Populairement connu comme la «ville des Parfums" Les Arabes ont également découvert. Le nouvel ingrédient dans la fabrication Parfums, aussi, ce qui est. Composés de l'odeur de musc, la civette ou que les Arabes vous ont conduit à l'odeur de musc mélangé avec de la chaux. Et ils amenèrent Lime sont ensuite utilisées pour construire une mosquée (la mosquée) est une mosquée et le palais qui a été faite. Et la maison avec l'arôme dans toute la ville. Et voici une autre qui vient d'une histoire à propos de la "Cité des Parfums" parce que
pendant le temps des Croisés apporté l'encens. Écrivez aux Européens ont connu. Mais pour la première étape du parfum. En Europe, il a vraiment commencé au 16ème siècle sur les Affaires étrangères Catherine de (Catherine de Médicis) de Ricci au pays pour épouser le futur roi de l'Italie à l'époque. A partir de maintenant parfum A continué à régulièrement Jusqu'au début du 19ème siècle chimistes étrangères ont fait de parfum de synthèse. Chemical odeur que plusieurs milliers d'odeurs. Le parfum se propage. L'industrie est Grand comme on le voit dans le présent. Ingredients- parfum, la plupart des gens ont tendance à penser. Sentir le parfum de l'arbre. Habituellement des fleurs Mais de nombreuses surprises D'autres parties de l'arbre Je ai l'habitude de faire du parfum, se il est en bois, feuilles, tiges, graines, écorce et le bois dans différentes parties de la ci-dessus, alors nous. Apprendre à connaître les types d'arbres. Les ingrédients des fragrances utilisées en lui un parfum populaire utilisé dans le top faire - Balsam: La myrrhe est une. La cire Balsam populaire dans les cercles. encens de fabrication À l'heure actuelle, car l'hôtel est baume du Pérou - Bergamote: ce est le Makod lui-même. L'extraction de Makod L'expérience est essentielle surface de la coquille Makod lui-même. McLaughlin extrait de la peau de la Makod d'oignon est principalement utilisé dans les parfums pour les femmes - l'encens: une résine aromatique du genre de l'arbre Boswellia Boswellia arbres sont de petits arbres. La croissance du sud de l'Arabie et de la Somalie, où les espèces de bois. Une partie très importante Dans l'encens Le royaume de l'antiquité romaine Actuellement, nous utilisons une combinaison de l'encens. Parfumerie moderne à 13% - galbanum: une résine de galbanum d'Iran de fenouil vous sentir le Spicy - Jasmine: le riz comme ingrédient principal. À l'heure actuelle, plus de 80% du parfum était secondes ne ont augmenté que de variétés de riz utilisé dans l'eau est essentielle. Jasmine de l'Espagne Aussi connu comme Jasmin Royal, qui est le plus couramment utilisé en Europe. Depuis J-siècle, le 16 Jasmin Royal est un ingrédient dans le parfum des plus coûteux en raison de £ 500 Jasmine être distillée sur le parfum est que de 0,1% seulement - labdanum: une petite goutte de. jus des feuilles de Ciste basés au Moyen-Orient. Nous utilisons ce type de résine à 33% dans le parfum aujourd'hui - Lavande: ingrédient principal. Dans le parfum pendant une longue période. Depuis le grec - l'époque romaine en France avaient atteint 5000 tonnes par an, il ya cette Lavande - Citron: La peau d'un citron. Un ingrédient nécessaire Dans la fabrication de parfums Doit odeur fraîche dynamique - Lily of the Valley: au début du parfum nous sentons les fleurs Lily fleur de lys en l'insérant dans l'eau. Mais dans le présent Nous utilisons des méthodes modernes En extrayant le parfum de lys est livré avec des outils avancés nous utilisons lys comme ingrédient dans la fabrication de parfums, d'environ 14% à l'heure actuelle - Myrrhe: la résine de Myrrhe a également été trouvé en Arabie, la Somalie et l'Ethiopie dans les temps anciens. Il a utilisé ce type de caoutchouc utilisé pour fabriquer des médicaments à base de plantes et potion d'embaumement, mais dans le présent. Le cuisinier dit parfum Caractéristiques notables de la myrrhe, ce est que ce est une aide. L'odeur de parfum Le corps résistant au retrait de plus. Parce qu'il contient de l'huile essentielle dans l'air. Ralentissez il - Néroli: raffiné. Les fleurs de l'oranger nom Néroli vient de la gamme. Le J-16 Wanna étude par l'épouse du prince de l'Italie, l'un des mélange d'huile de néroli dans la douche fait son parfum. Ce est répandue en Europe, mais en fait Néroli en Europe il ya longtemps. Depuis J-12ème siècle par les Arabes sont un leader ajouté. Actuellement en cours d'utilisation contiennent mélangé Dans la fabrication de parfums à 12% - Mousse de Chêne: L'adresse Lichen de chênes, de pins et d'autres arbres. Ceinture sanglante au nord de l'Afrique et l'Europe, nous utilisons la mousse de chêne est le titulaire. L'odeur du parfum Non à se évaporer plus vite

ผลลัพธ์ (ฝรั่งเศส) 3:

Nous pensons que l'eau était doux et pour un long moment, dessin preuve de la fresque dans l'un des temples de la ville reine Hatchepsout Thèbes en Egypte dans la forme d'une femme dans l'Égypte ancienne les gens étaient intrigués chol, oignons sur une surcharge.Et puis, il est prévu qu'à l'ère du navire, le fait est que les habitants de la terre d'Égypte, d'amener les autres l'eau parfumée dans l'antiquité, sera faite à partir de caoutchouc en caoutchouc, en bois encens encens est-ce pas, il y aura une Saoudite en Somalie et que les mots "parfum " c'est dérivé du latin"Fumée" en grec (en grec) peuple antique et d'eau douce qui sera la femme qui a été mis à jour pour faire de l'eau patrimoine parfum qui avait été retiré des habitants de l'Égypte antique, à élaborer de meilleurs à l'époque de l'Empire romain (Roman) l'eau parfumée il va utiliser bdellium.Dans l'ordre Boswellia importés d'Arabie et plus les ingrédients qui viennent de la mer de l'Inde, en tant que l'un des ingrédients qui ne pourrait pas voir cela dans l'arôme des Romains ont intrigué à l'époque, les Romains sera riche en eau douce conformément à la satisfaction