We have a baby is extremely challenging for all parents. Because children must suffer many problems but, at the same time it is happy. Because the creation of people coming up with our responsibility is tough. Before each pair of couples decide to have a child then. It must have been thinking carefully and review that, along with the need to nurture the life grow up to 1, as a good citizen, which because of this model, all parents have come to expect and want to give you everything our children will find it, with nothing but a good thing.This perilous raising him, grew up as a person, a good family, and people in society, but to our children is the first step that we are experiencing the issue that is the belly. 9 months, we will take care of him, keep him safe, and I'm in with the correct body system. Should find a way to follow and, with minimal risk. The next step, we will find that, after he is born, we must think carefully that we wanted the baby to have ronthi society. A clean environment, we are confident that our children to be safe. เมื่อก้าวแรกที่ลูกของเราเข้าไปโรงเรียนอนุบาล โดยปกติเด็กทุกคนจะร้องตามแม่เมื่อแม่ไปส่งในเช้าวันแรก ซึ่งตอนนี้นั่นเองที่เราต้องเริ่มสอนลูกให้ลูกเราเข้มแข็ง และบอกลูกว่า "อดทนนะ ตั้งใจเรียนเพื่อพ่อแม่ ตอนเย็นก็เจอกันแล้วเดี๋ยวแม่ทำของโปรด" ลูกก็จะยอมไปถึงมันจะค่อนข้างยากแต่เด็กทุกคนก็ผ่านช่วงเวลานี้ไปได้เสมอ และการไปโรงเรียนลูกเราก็จะประสบปัญหามากมาย เช่นเพื่อนแย่งขนม เพื่อนขโมยของของลูกเราไป หรืออาจจะปัญหาทะเลาะกันเพื่อแย่งขนม ซึ่งก็ขึ้นอยู่หับการที่เราคอยสอนลูกเราในทุกๆเย็นหลังกลับมาหรือในตอนเช้าก่อนไปโรงเรียน ให้ลูกเป็นคนดีไม่ใจร้อน รู้จักการแบ่งปัน เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ให้รักเพื่อน แต่ถ้าเมื่อใดมีปัญหาที่เราแก้ไขไม่ได้จริงๆให้เขานั้นไปบอกคุณครูของเค้า เพราะคุณครูของเขาสามารถช่วยเขาได้ในทุกๆเรื่องเมื่อเขาอยู่ในโรงเรียน ฉันก็จะคอยบอกเขาเสมอว่า ถ้ามีไรให้บอกพ่อหรือแม่อย่าเก็บไว้คนเดียวทุกปัญหามีทางแก้เสมอ ก้าวที่สองคือการส่งลูกเราไปเรียนระดับประถมศึกษา ลูกเราต้องเรียนเป็นระยะเวลา6ปี ช่วงนี้กำลังจะเติบโตมาเป็นวัยรุ่นเต็มตัว ระยะเวลานี้เขามักจะเจอปัญหาที่เกี่ยวกับเพื่อนเป็นส่วนใหญ่ ในช่วงนี้เด็กทุกคนต้องการการยอมรับจากเพื่อนๆ ปัญหามีมากมายไม่ว่าจะเป็นการที่เข้าใจผิดกันระหว่างเพื่อน หรืออาจจะมีเพื่อนที่ไม่ชอบกันซึ่งต้องคอยบอกลูกเสมอว่าเป็นเรื่องปกติที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน เราต้องคอยเผชิญกับปัญหาทุกปัญหาและแก้ไขมัน อย่าหนีปัญหาเพราะถึงจะหนียังไงปัญหามันก็ยังคงไม่หายไป สู้เผชิญกับปัญหาแล้วผ่านไปดีกว่า ก้าวที่สามของลูกที่เราจะต้องส่งเค้าไปเมื่อเป็นวัยรุ่นเต็มตัวคือการเข้าสู่มัธยมศึกษา ลูกเราต้องเรียนในระดับชั้นนี้6ปีเช่นกัน ช่วงชีวิตนี้คนเป็นพ่อแม่ต้องคอยอยู่ข้างๆเขาเสมอ ให้เขารู้ว่ายังมีเรา ช่วงอายุเท่านี้เราจะเริ่มสังเกตตัวเขาว่าเค้าชอบทำอะไร ชอบสิ่งไหนมากเป็นพิเศษ เพราะเมื่อถึงเวลาที่เขาต้องเลือกเส้นทางชีวิตว่าเค้าจะเรียนเกี่ยวกับอะไร เราจะยอมรับความคิดของเขาและคอยแนะนำและเป็นห่วงอยู่ห่างๆ ในอายุประมานนี้ลูกจะพบกับความเครียดหลายอย่างทั้งเรื่องการเรียน เรื่องเพื่อน เรื่องสังคม และการเลือกเส้นทางของชีวิตตัวเอง ซึ่งเราควรสอนลูกเสมอว่าไม่ควรเห็นแก่ตัว ให้จริงใจกับผู้อื่น ทำดีกับทุกคนแล้วสิ่งที่เราทำนั้นจะย้อนกลับมาหาตัวเรานั่นเอง ช่วงเวลานี้ลูกนั้นต้องการให้เราเข้าใจและเป็นเพื่อนเขาอยู่ข้างๆเขามากที่สุด เราควรให้คำปรึกษาเขาในทุกๆเรื่องการทำแบบนี้จะทำให้เขารู้สึกมีความสุขและพร้อมที่จะใช้ชีวิตในวันข้างหน้า ในส่วนของการที่ลูกจะต้องเลือกเส้นทางชีวิตนั้นเราจะไม่บังคับหรือตีกรอบให้ชีวิตของเขา เราควรคอยรับฟังและเป็นที่ปรึกษาที่ดีเวลาเขามาถามเกี่ยวกับสิ่งที่เขาชอบและเสนอแนะสิ่งดีๆที่เกี่ยวกับที่เขาชอบให้เขาฟังเพื่อประโยชน์ในการตัดสินใจของลูกว่าเขาจะเลือกในสิ่งที่เขาชอบไปทางไหนให้เกิดประโยชน์สูงสุด ที่สำคัญคือเราห้ามไปบังคับให้เค้าเรียนอะไรในสิ่งที่เราชอบ ถึงแม้มันจะดีแต่เราควรนำสิ่งนั้นมาเสนอแนะให้ลูก เพราะบางทีสิ่งที่เราชอบหรือสิ่งที่เราเห็นว่ามันดี อาจจะเป็นสิ่งที่ลูกเราไม่ชอบ เราต้องให้เขาเรียนอะไรที่เป็นสิ่งที่เขารู้สึกชอบและรักเพราะตลอดระยะเวลาที่เรียนลูกเราจะมีความสุขไม่ว่าจะพบปัญหาก็จะไม่ท้อและจะก้าวต่อไปกับชีวิตในวัยเรียน ก้าวต่อไปนั้นคือการสอบเข้ามหาลัย ลูกเราต้องพบเจอกับปัญหามากมายทั้งความกดดันเมื่อตอนที่เค้าเห็นเพื่อนสอบได้แล้วแต่เรายังไม่ได้ พ่อแม่ก็ต้องคอนเป็นกำลังใจให้ลูกในการรับมือหรือในการสอบต่างๆที่ลูกจะได้พบเจอนั่นเอง We have the ball we should be raising him on principle that does not force the ball or drop too much. We should be on the middle path that we, and the ball can conditioning compatibility. Whenever there is a problem, just open your mind talk between the parents with kids, listening to their opinions together and agree on something different? Should not believe or follow what I am thinking too much. By doing so, we are happy with the ball, and the ball will feel comfortable when they are with their parents, and the child will think that when any time I have no affect whatsoever on the reins, the parents always on your side.
การแปล กรุณารอสักครู่..