เรื่อง สังคมก้มหน้า ปัจจุบันเทคโนโล

เรื่อง สังคมก้มหน้า
ปัจจุบันเทคโนโลยีต่างๆ มีความเจริญก้าวหน้าและมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว แอพพลิเคชั่นต่างๆไม่ว่าจะเป็น Line, Facebook, Twitter, E-book, etc. รวมถึงการใช้งานขั้นพื้นฐานต่างๆถูกรวบรวมไว้ในonly a smartphone อุปกรณ์ที่มีขนาดเล็กแต่ทำงานได้สารพัดอย่างนี้ได้มาเข้ามามีบทบาทและดึงดูดความสนใจของผู้คนได้เป็นอย่างดี ซึ่งการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีบนโลกใบนี้ ได้ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลต่างๆ การที่ทุกคนให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีมากเกินไปจนลดความสำคัญระหว่างบุคคลลงไป จนถึงขั้นย่ำแย่

เทคโนโลยีที่เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตได้แค่เพียงปลายนิ้ว ได้กลายเป็นปัจจัยที่ 6 นอกเหนือจากปัจจัย 4 ที่เป็นปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิตของมนุษย์ทั่วไป ได้แก่ อาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม และยารักษาโรค รวมทั้งยานภาหนะกลายมาเป็นปัจจัยที่ 5 ที่จำเป็นอย่างยิ่งในการดำเนินชีวิต ที่กล่าวมานั้นจะเห็นได้ว่า สมาร์ทโฟนทั้งหลายได้กลายเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวันของคนส่วนใหญ่หรือคนทั่วโลกไปแล้ว จะเห็นได้จากกลุ่มคนทุกวัยตั้งแต่วัยเด็ก วัยรุ่น วัยทำงาน ไปจนถึงผู้สูงวัยทั้งหลาย ก็ล้วนแล้วจะต้องเป็นเจ้าของสมาร์ทโฟนอย่างน้อย 1 เครื่อง ผลกระทบที่ตามมาจากการที่ทุกคนให้ความสำคัญกับสมาร์ทโฟนเหล่านี้ก็คือ ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลในสังคมระดับต่างๆ ลดลงไปมาก ผลการเรียนลดลงมาก เกิดปัญหาครอบครัวเพราะไม่เข้าใจก้ไม่คุยกันตรงๆ
เนื่องจากสมาร์ทโฟน ได้ดึงความสนใจจากสิ่งต่างๆ รอบตัวไปจนหมด ทุกคนต่างก้มหน้าก้มตาเสียเวลาไปกับสิ่งนี้ จนทำให้ขาดปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนรอบข้าง ไม่มีใครสนใจใคร จนกลายเป็น “สังคมก้มหน้า” ที่เราได้ยินกันจนคุ้นหูนอกจากนี้ยังก่อให้เกิดปัญหาทางด้านสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นทางด้านร่างกาย ได้แก่ การเกิดปัญหานิ้วล็อค อาการปวดหลังหรือต้นคอ เนื่องจากการก้มเป็นเวลานาน ปัญหาทางสายตาที่เกิดจากการเพ่งมองมากเกินไป หรือทางด้านจิตใจ คือ ก่อให้เกิดความหมกมุ่นกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากเกินไป จนก่อให้เกิดปัญหาในการสื่อสาร เป็นต้น แต่เราก้สามารถแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์เข้ามาช่วย1 การสังเกต ว่าถ้าใช้โทรสับมากเกินไปจะส่งผลเสียต่อร่างกายหรือสุขภาพของเราไหม 2การบันทึกข้อมูล ถ้าเราลองเฉลี่ยว่าในหนึ่งวันใช้โทรสับกี่ชั่วโมง มันนานเกินไปไหม4-5 ชั่วโมง ถ้าเราไม่ใช้แล้วเอาเวลาเหล่านี้มาอ่านหนังสือหรือทบทวนบทเรียนคงได้ความรู้มากเลยทีเดียว เพราะเล่นไปทำให้สมาธิในการตั้งใจเรียนน้อยลง 3 ตั้งสมมุติฐาน วันที่เราใช้โทรสับกับไม่ใช้ วันไหนเราไปโรงเรียนแล้วเรียนแล้วได้รับความรู้มากกว่ากันเพราะสมองสดใสตื่นตัว วันไหนที่เล่นโทรสับมากๆเราจะเหนื่อย ไม่อยากเรียน นึกถึงแต่เกม หรือข้อความที่เเชทในโทรสับ 4 ทดลอง ในวันที่ไปโรงเรียน1สับดาห์ ไม่ใช้โทรสับก่อนเรียน กับ ไปโรงเรียนอีกหนึ่งสับดาห์จากนั้นใช้โทรสับตั้งเเต่ตื่นจนไปโรงเรียน 5 สรุปผลการทดลอง ว่าถ้าเราใช้โทรสับมากๆสมองจะมีประสิทธิภาพในการเข้าใจบทเรียนได้ช้ากว่าวันที่ตื่นเช้ามา โดยไม่ได้เล่นโทรสับไหม
เราต้องรุ้จักใช้เทคโนโลยีกว่านี้อย่างฉลาดเพื่อมันจะได้ไม่มาทำร้ายเราลองคิดเยอะๆถึงผลดีและผลเสีย กระบวนการนี้สามารถน้ำมาแก้ไข สังคมก้มหน้าในปัจจุบัน ได้เริ่มจากตัวเราเพราะเราเป็นนักเรียน ถ้าเราแบ่งเวลาเป็นใช้ให้ถูกเวลาก้จะไม่ส่งผลกระทบต่อการเรียน ถ้าเราทำเป็นแบบอย่างที่ดีคนในบ้านก้จะปฏิบัติเหมือนกับเรา พ่อแม่เขาก้จะได้ไม่ต้องกังวลและภูมิใจเมื่อลูกๆใช้โทรสับถ้าใช้เพื่อหาความรู้เพื่อการศึกษาไม่ได้ทำสิ่งไร้สาระจนมีผลต่อการเรียน เทคโนโลยีสมาร์โฟนมัสก้เป็นเหมือน*ดาบสองคม*ถ้าเราใช้ไปทางที่ดีมันก้ทำให้เรากลายเป็นคนเก่งได้ เพราะความรวดเร็วในการศึกษาหาข้อมูล รวมถึงในสื่อโซเชี่ยลมีข้อมูลในเรื่องต่างๆเยอะแยะมากมายให้เราได้ค้นคว้า ถ้าเราใช้ไปในทางที่ไม่ดี มันก้จะทำให้เราเสียคนเสียการเรียน และส่งผลเสียต่อสุขภาพด้วย รัฐบาลก้สามารถช่วยแก้ปัญหาเยาวชนติดสมาร์โฟนหรือได้โดยให้แต่ละโรงเรียนมีกิจกรรมการรณรงค์การสอน ให้เด็กรู้ถึงผลดีและผลเสียของการใช้โทรสับสมาร์โฟน เพราะการให้ความสำคัญระหว่างบุคคลนั้นสำคัญกว่าสังคมที่ไม่มีตัวตนอย่างสังคมออนไลน์ เพราะตัวบุคคลนั้นมีความสำคัญกว่าและจะได้ทำให้ความรักความสัมพันธ์ระหว่างกันที่มีให้กันไม่ลดน้อยลง เมื่อมีปัญหาอะไรก็สามารถซักถามพูดคุยกันได้อย่างชัดเจน ไม่ใช้วิธีการโพสต์ผ่านสื่อต่างๆเพื่อกล่าวหากันหรือเพื่อระบายอารมฌ์ความรู้สึกต่างลงไป ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงที่จะมีโต้ตอบแชทไปมา จะทำให้เกิดความยืดเยื้อเเละเกิดความขัดเเย้งจริงจังขึ้นได้ เพียงเพราะไม่เหนหน้ากันไม่เข้าใจความรุ้สึกกันผ่านตัวอักษร
สรุป จากปัญหาที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ จะสามารถคลี่คลายได้หากผู้ใช้รู้จักใช้อย่างมีสติและรู้เท่าทันเทคโนโลยีจากกระบวนการข้างต้น เพียงเท่านี้ปัญหา “สังคมก้มหน้า” ก็จะหมดไป ด้วยความรักและห่วงใยทุกคน วิทยาศาสตร์นั้นมีทางออกเสมอ หากเรารุ้จักคิด วิเคราะห์ รู้จักการใช้งานที่ถูกต้องเหมาะสมและไม่ปิดกั้นโอกาสทางการเรียนรู้

ผลลัพธ์ (อังกฤษ) 1:

A social story bow front Current technology has the ability to grow and change quickly. Applications, whether they are Facebook, Twitter, E-book, Line, etc. include the fundamental usage are embodied in a smartphone only. The device is small, but functional goodies like this come into play a role and to attract the attention of people. The rapidly changing world of technology, this affects the relationship between people. For anyone with too much technology, reducing the importance between the person down to step beyond toleration. เทคโนโลยีที่เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตได้แค่เพียงปลายนิ้ว ได้กลายเป็นปัจจัยที่ 6 นอกเหนือจากปัจจัย 4 ที่เป็นปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิตของมนุษย์ทั่วไป ได้แก่ อาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม และยารักษาโรค รวมทั้งยานภาหนะกลายมาเป็นปัจจัยที่ 5 ที่จำเป็นอย่างยิ่งในการดำเนินชีวิต ที่กล่าวมานั้นจะเห็นได้ว่า สมาร์ทโฟนทั้งหลายได้กลายเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวันของคนส่วนใหญ่หรือคนทั่วโลกไปแล้ว จะเห็นได้จากกลุ่มคนทุกวัยตั้งแต่วัยเด็ก วัยรุ่น วัยทำงาน ไปจนถึงผู้สูงวัยทั้งหลาย ก็ล้วนแล้วจะต้องเป็นเจ้าของสมาร์ทโฟนอย่างน้อย 1 เครื่อง ผลกระทบที่ตามมาจากการที่ทุกคนให้ความสำคัญกับสมาร์ทโฟนเหล่านี้ก็คือ ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลในสังคมระดับต่างๆ ลดลงไปมาก ผลการเรียนลดลงมาก เกิดปัญหาครอบครัวเพราะไม่เข้าใจก้ไม่คุยกันตรงๆ เนื่องจากสมาร์ทโฟน ได้ดึงความสนใจจากสิ่งต่างๆ รอบตัวไปจนหมด ทุกคนต่างก้มหน้าก้มตาเสียเวลาไปกับสิ่งนี้ จนทำให้ขาดปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนรอบข้าง ไม่มีใครสนใจใคร จนกลายเป็น “สังคมก้มหน้า” ที่เราได้ยินกันจนคุ้นหูนอกจากนี้ยังก่อให้เกิดปัญหาทางด้านสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นทางด้านร่างกาย ได้แก่ การเกิดปัญหานิ้วล็อค อาการปวดหลังหรือต้นคอ เนื่องจากการก้มเป็นเวลานาน ปัญหาทางสายตาที่เกิดจากการเพ่งมองมากเกินไป หรือทางด้านจิตใจ คือ ก่อให้เกิดความหมกมุ่นกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากเกินไป จนก่อให้เกิดปัญหาในการสื่อสาร เป็นต้น แต่เราก้สามารถแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์เข้ามาช่วย1 การสังเกต ว่าถ้าใช้โทรสับมากเกินไปจะส่งผลเสียต่อร่างกายหรือสุขภาพของเราไหม 2การบันทึกข้อมูล ถ้าเราลองเฉลี่ยว่าในหนึ่งวันใช้โทรสับกี่ชั่วโมง มันนานเกินไปไหม4-5 ชั่วโมง ถ้าเราไม่ใช้แล้วเอาเวลาเหล่านี้มาอ่านหนังสือหรือทบทวนบทเรียนคงได้ความรู้มากเลยทีเดียว เพราะเล่นไปทำให้สมาธิในการตั้งใจเรียนน้อยลง 3 ตั้งสมมุติฐาน วันที่เราใช้โทรสับกับไม่ใช้ วันไหนเราไปโรงเรียนแล้วเรียนแล้วได้รับความรู้มากกว่ากันเพราะสมองสดใสตื่นตัว วันไหนที่เล่นโทรสับมากๆเราจะเหนื่อย ไม่อยากเรียน นึกถึงแต่เกม หรือข้อความที่เเชทในโทรสับ 4 ทดลอง ในวันที่ไปโรงเรียน1สับดาห์ ไม่ใช้โทรสับก่อนเรียน กับ ไปโรงเรียนอีกหนึ่งสับดาห์จากนั้นใช้โทรสับตั้งเเต่ตื่นจนไปโรงเรียน 5 สรุปผลการทดลอง ว่าถ้าเราใช้โทรสับมากๆสมองจะมีประสิทธิภาพในการเข้าใจบทเรียนได้ช้ากว่าวันที่ตื่นเช้ามา โดยไม่ได้เล่นโทรสับไหม เราต้องรุ้จักใช้เทคโนโลยีกว่านี้อย่างฉลาดเพื่อมันจะได้ไม่มาทำร้ายเราลองคิดเยอะๆถึงผลดีและผลเสีย กระบวนการนี้สามารถน้ำมาแก้ไข สังคมก้มหน้าในปัจจุบัน ได้เริ่มจากตัวเราเพราะเราเป็นนักเรียน ถ้าเราแบ่งเวลาเป็นใช้ให้ถูกเวลาก้จะไม่ส่งผลกระทบต่อการเรียน ถ้าเราทำเป็นแบบอย่างที่ดีคนในบ้านก้จะปฏิบัติเหมือนกับเรา พ่อแม่เขาก้จะได้ไม่ต้องกังวลและภูมิใจเมื่อลูกๆใช้โทรสับถ้าใช้เพื่อหาความรู้เพื่อการศึกษาไม่ได้ทำสิ่งไร้สาระจนมีผลต่อการเรียน เทคโนโลยีสมาร์โฟนมัสก้เป็นเหมือน*ดาบสองคม*ถ้าเราใช้ไปทางที่ดีมันก้ทำให้เรากลายเป็นคนเก่งได้ เพราะความรวดเร็วในการศึกษาหาข้อมูล รวมถึงในสื่อโซเชี่ยลมีข้อมูลในเรื่องต่างๆเยอะแยะมากมายให้เราได้ค้นคว้า ถ้าเราใช้ไปในทางที่ไม่ดี มันก้จะทำให้เราเสียคนเสียการเรียน และส่งผลเสียต่อสุขภาพด้วย รัฐบาลก้สามารถช่วยแก้ปัญหาเยาวชนติดสมาร์โฟนหรือได้โดยให้แต่ละโรงเรียนมีกิจกรรมการรณรงค์การสอน ให้เด็กรู้ถึงผลดีและผลเสียของการใช้โทรสับสมาร์โฟน เพราะการให้ความสำคัญระหว่างบุคคลนั้นสำคัญกว่าสังคมที่ไม่มีตัวตนอย่างสังคมออนไลน์ เพราะตัวบุคคลนั้นมีความสำคัญกว่าและจะได้ทำให้ความรักความสัมพันธ์ระหว่างกันที่มีให้กันไม่ลดน้อยลง เมื่อมีปัญหาอะไรก็สามารถซักถามพูดคุยกันได้อย่างชัดเจน ไม่ใช้วิธีการโพสต์ผ่านสื่อต่างๆเพื่อกล่าวหากันหรือเพื่อระบายอารมฌ์ความรู้สึกต่างลงไป ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงที่จะมีโต้ตอบแชทไปมา จะทำให้เกิดความยืดเยื้อเเละเกิดความขัดเเย้งจริงจังขึ้นได้ เพียงเพราะไม่เหนหน้ากันไม่เข้าใจความรุ้สึกกันผ่านตัวอักษร A summary of the issues, all of which will be able to resolve it if users know something and grasp the technology from the above process. Just as the bow in front of society, "it will all go with love and care to everyone, there is always a way out for science. If we already think I know how to use the analysis is correct, appropriate, and not block opportunities to learn.

ผลลัพธ์ (อังกฤษ) 3:

The society face
current technology. The progress and changes rapidly. Applications such as Line various Facebook Twitter,,,, E-book etc.Including basic applications are compiled in a only a smartphone equipment with small but all this work has come to play the role, and to attract the attention of people as well.It affects the relationship between people. Everyone gives importance to technology too to downgrade between individuals into a live is worse!
.The technology that connect to the Internet only the fingertips has become factors 6 apart from 4 factors is fundamental in the life of human beings. Such as food, shelter, clothing and medicine.5 needed in life. That said, it will be seen that Smart phone and has become an essential in the daily life of most people or people around the world. Can be seen from people of all ages since childhood, adolescence.Until the elder unto them. It then you have to own at least 1 smartphone. The impacts of everyone to focus on these devices is The relationship between the individual in society at various levels.Effect of greatly reduced. The problem is not directly family don't understand
.Since smartphones, draws the attention from all around to all, everyone went to waste time with this. The lack of interaction between people and no one cares who become "society faces."Whether it is physical, including problems in locking back pain or neck, due to the bow for a long time. Eye problems resulting from the gaze too much or psychological.To cause problems in communication, etc. but we can solve these problems by using a scientific process to help 1 observation. If the fax too will affect the body or our health?