The Dharma leading to matuphumiWhat is Dhamma.Dharma is Dhamma alarm conditions that exist in all of us.-Buddhism Call this Dharma watchara tangkaprasert, or also called Bodhi mind.-Religion, Sage Get this mental kodchawan fair.-Taoist religion. Call this Dharma doors of death occurs.Or it may be also called Tham hsien. However, even though the names are phitphaek commandments differ, but the meaning is still the same as the one. State fair, this original originates from nut tonphumi But state fair as the sky in the original, this is called the primary goodness of God or sky blue called the sacred Word property. When the State Fair dwells in a man called Dhamma alarm saṅkhāra or spiritual enlightenment or property may be referred to as mental kodchawan. Therefore, if a man be found "well justified" course of action to follow the "wrong person" alarm, three cars into a pure State is well justified. The Bible through the middle way that says: "eaten sky life. Called the fair is well expressed by the natural tamprasa fair is well known as called Dhamma. " However, สภาวะแห่งธรรมญาณนั้น ไร้รูป ไร้นาม ไร้กลิ่น ไร้เสียง ไม่เกิด ไม่ดับ ไม่เพิ่ม และไม่ลด ดูเหมือนว่างเปล่า แต่การดำรงอยู่ ดูเหมือนมีแต่ก็หาเห็นไม่ ไม่สามารถเข้าถึงได้โดยผ่านตัวอักษร หรือโดยการอธิบาย และไม่อาจใช้คำพูดอุปมาอุปไมยได้ ทั้งหมดที่กล่าวมานี้จึงเป็น "เนื้อแท้แห่งมหาธรรม" คัมภีร์คุณธรรมได้กล่าวไว้ว่า : "ธรรมะที่กล่าวกันได้ มิใช่ธรรมะแท้ นามที่เรียกกันได้ มิใช่นามจริง" ศาสดาเหล่าจื้อได้กล่าวเช่นเดียวกันว่า : "สภาวะที่ไร้นามเป็นต้นกำเนิดแห่งฟ้าดิน สภาวะที่เกิดนามเป็นมารดาแห่งสรรพสิ่ง" ถึงแม้สภาวะธรรมจะไร้รูปนาม และมีขอบเขตกว้างเกินกว่าประมานได้ แต่เพื่อต้องการแนะนำให้เวไนยได้รู้จักกับสภาวะธรรมที่ว่านี้ จึงจำเป็นต้องบัญญัติสมมุตินามขึ้นว่า "อนุตตรธรรม" พร้อมทั้ง ได้กำหนดสัญลักษณ์สมมุติเป็น O สำหรับจุดเริ่มต้นของสรรพสิ่งอันเกิดจากธรรมานุภาพแห่งสภาวะธรรมได้กำหนดสัญลักษณ์เป็นเส้นเหยียด ___________ กล่าวโดยสรุปคือ : * เป็นสัญลักษณ์แห่งสงบนิ่งของสภาวะธรรมเดิม * เป็นสัญลักษณ์ของสูญญตาธรรม * เป็นสัญลักษณ์สมมุติของเนื้อแท้แห่งธรรมส่วน ____ เป็นสภาวะการเคลื่อนไหวของธรรมะ ____ เป็นเส้นขยายของการเริ่มต้นของสรรพสิ่ง ____ เป็นอรรถประโยชน์ที่เกิดจากธรรมานุภาพของธรรมะ เมื่อวงกลม O (สภาวธรรม) เคลื่อนไหวก็จะแผ่ขยายออกเป็นเส้นเหยียด ___ (ธรรมานุภาพ) เมื่อเส้นเหยียด ___ หดตัวก็จะรวมกันเป็นจุดเดียว o (ต้นจิต) และเมื่อจุด o (ต้นจิต) แผ่ขยายตัวก็กลายเป็นเส้นเหยียด ___ (ธรรมานุภาพ) และจากสภาวะเส้นเหยียด ___ กลับมารวมกันไว้เป็นสภาวะจุด o ที่กล่าวมานี้
เป็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงที่ไร้ขีดจำกัด ระหว่างสภาวะการเคลื่อนไหวและสภาวะการสงบนิ่งกับสภาวะการขยายตัวและสภาวะการหดตัวของธรรมะ
ดังนั้น เมื่อพระธรรมะจะขยายตัวจะแผ่คลุมทั่วจักรวาล เรียกว่า เส้นเหยียด
เมื่อธรรมะเก็บจะผนึกรวมกันเป็นหนึ่งเดียว เรียกว่า จุด ธรรมะ จึงกว้างใหญ่ไร้สิ่งอื่นใดที่กว้างใหญ่กว่า ธรรมะ จึงเล็กละเอียดไร้สิ่งอื่นใดที่เล็กละเอียดกว่า
ธรรมะ จึงครอบคลุมฟ้าดินอุ้มชูสรรพสิ่ง
ธรรมะ จึงประสิทธิ์ประสาทสรรพญาณ
จึงมีคำที่กล่าวว่า : "ฟ้าดินแม้นกว้างใหญ่ ไร้ธรรมะวิเศษก็ไม่อาจเกิดขึ้นได้ มนุษย์แม้นหลักแหลม ไร้ธรรมะแยบยลก็ไม่อาจดำรงชีวิตได้"
จึงควรรู้ว่า ธรรมะ คือหลักสัจธรรม คือหลักแห่งธรรมญาณ หลักธรรมญาณ ก็คือกัลยาณจิต ส่วนกัลยาณจิต ก็คือ พุทธจิต พุทธภาวะ คือ โฉมหน้าเดิมแท้ของเราทุกคน
ถึงแม้ในตัวเราทุกคนจะมีธรรมญาณอันวิเศษแยบยลนี้ แต่ทว่าคนส่วนใหญ่กลับไม่รู้ในความสมบูรณ์พร้อมของสภาวะธรรมญาณนี้ทั้งๆ ที่อาศัยมันในการดำรงชีวิตอยู่ทุกวัน
หากเป็นเช่นนี้ ก็เท่ากับเป็นการ "ลืมต้นแสวงปลาย" อีกทั้งยังทำให้ไม่สามารถเข้าถึงสภาวะธรรมเดิมได้
ด้วยเหตุนี้จึงกล่าวได้ว่า ผู้เห็นแจ้งในธรรมญาณเท่านั้นที่สามารถ "กลับสู่ธาตุแท้คืนสู่ต้นกำเนิด" สำเร็จเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ส่วนผู้มืดมิดในธรรมจะตกลงสู่นรกแห่งการเวียนว่ายเกิดเป็นวิญญาณบาปในนรกภูมิ
ฉะนั้น ธรรมะจึงเป็นหนทางเดียวที่จะนำพาให้มนุษย์ได้กลับคืนสู่ฟ้าเบื้องบน เพราะธรรมญาณเดิมในกายมนุษย์เสมือนหนึ่งเป็นพุทธบุตรของ "เอกองค์อภิภูเจ้า" ผู้ประสิทธิ์ประสาทสรรพสิ่ง
การแปล กรุณารอสักครู่..