หากให้เอ่ยชื่อสถานที่ท่องเที่ยวอันลือเลื่องทางธรรมชาติของแผ่นดินมังกรที่มีความเพียบพร้อมทั้งขุนเขาหิมะ ทะเลสาบสีฟ้าคราม ธารน้ำเชี่ยว สายน้ำตก และใบไม้เปลี่ยนสีรวมอยู่ในสถานที่เดียวกันแล้ว เชื่อแน่ว่าหลายคนคงนึกไปถึงอุทยานธารสวรรค์-จิ่วไจ้โกว ที่มีความพร้อมสรรพสำหรับผู้รักและใฝ่หาภาพธรรมชาติอันงามพิสุทธิ์ ยิ่งกว่านั้น ณ แดนดินถิ่นนี้ยังเต็มไปด้วยตำนานเทพนิยายพื้นบ้านของชาวทิเบต ที่เล่าขานกันมาอย่างยาวนานช่วยแต่งแต้มสีสันให้ธรรมชาติอันบรรเจิดของจิ่วไจ้โกว ได้รัดรึงใจผู้มาเยือนได้อย่างเต็มเปี่ยม จิ่วไจ้โกวตั้งอยู่ห่างจากนครเฉิงตู เมืองเอกของมณฑลเสฉวนขึ้นไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือประมาณ 400 กิโลเมตรบนเทือกเขาหมินซาน ชายขอบหลังคาโลกที่ราบสูงชิงไห่-ทิเบต ในอดีตนักเดินทางจะมาถึงจิ่วไจ้โกวได้เฉพาะทางรถยนต์ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 วัน ต่อมาเมื่อถนนสะดวกขึ้น สามารถร่นระยะเวลาได้เหลือ 6-7 ชั่วโมง ปัจจุบันมีเครื่องบินจากนครเฉิงตูบินไปลงสนามบินหวงหลงได้เลย ในที่นี้ผู้เขียนขอแนะนำให้ผู้รักในธรรมชาติเดินทางไปกลับด้วยทางรถยนต์ หากเวลาจำกัด เที่ยวไปทางรถยนต์ เที่ยวกลับค่อยบินกลับ จะได้อรรถรสและความคุ้มค่าของการเดินทางได้ดี
อุทยานจิ่วไจ้โกวมีอาณาบริเวณทั้งสิ้นราว 720 ตารางกิโลเมตร บนความสูงตั้งแต่ 2,200–3,100 เมตร จากระดับทะเลปานกลาง แวดล้อมไปด้วย 114 ทะเลสาบน้อยใหญ่ 12 ธารน้ำตก และ 11 ลำธารที่ไหลลัดเลาะไปตามโตรกซอกหินผา ที่ลดระดับตามสภาพภูมิประเทศ ฤดูกาลที่เหมาะสมในการมาเยือนมากที่สุดคือฤดูใบไม้ร่วง เพราะนักเดินทางจะได้ยลสิ่งอัศจรรย์ทางธรรมชาติของอุทยานมรดกโลกแห่งนี้ได้อย่างครบครัน คือ บรรยากาศอันสดใสแห่งฤดูกาล ขุนเขาหิมะอันขาวโพลน ใบไม้ผลัดเปลี่ยนสีอันจัดจ้า ทะเลสาบคราม ฟ้าใสราวแผ่นกระจก เงาสะท้อนบนแผ่นน้ำที่ราบใส สายน้ำตกและธาราอันไหลเชี่ยวในหลากอิริยาบถ ฯลฯ ที่จะพร้อมใจกันอวดโฉมให้ผู้มาเยือนได้ยลกันอย่างเต็มอิ่ม
เสน่ห์ของการเข้ามาเที่ยวอุทยานจิ่วไจ้โกวอีกสิ่งหนึ่ง ที่ช่วยเพิ่มสีสันในการเยี่ยมชม คือ ตำนานเทพนิยายของชาวทิเบตท้องถิ่นที่พำนักอาศัยในดินแดนแถบนี้มารวมกัน 9 หมู่บ้าน จนเป็นชื่อเรียกของ “จิ่วไจ้โกว” หรือหมายถึง “แควเก้าบ้าน” นั้น ได้นำเอาปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่แวดล้อมตัวพวกเขาอยู่มาเล่าขานเป็นนิทานพื้นบ้านมากมาย
ตำนานเรื่องเทพบุตรหนุ่มต๋าเกอกับเทพธิดาเซอโมดูเหมือนจะเป็นนิทานที่ได้รับความนิยมมากที่สุด โดยเฉพาะการเล่าขานถึงความรักของเขาและเธอทั้งสองที่ได้เป็นปฐมเหตุให้อุบัติอุทยานแห่งความงามนี้ขึ้นบนผืนโลก
เรื่องเล่ากันมาว่า...กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเทพบุตรต๋าเกอได้ผูกสมัครใจรักเทพธิดาเซอโม ต๋าเกอได้เพียรอุตส่าห์ฝนกระจกบานใหญ่ เพื่อมอบให้เป็นกำนัลแทนความรักที่เขามีต่อเธอ และหมายให้เธอได้ส่องยลโฉมสะคราญของตนเอง ทว่าเซอโมมิทันได้ระวัง กระจกได้พลัดหลุดจากมือร่วงลงสู่พื้นโลก เมื่อเธอลงมาค้นหา ก็พบว่ากระจกนั้นได้แตกเป็นเศษเสี้ยวรวม 108 ชิ้น และได้กลายมาเป็นพื้นผิวของแผ่นน้ำบนทะเลสาบทั้ง 108 แห่งในจิ่วไจ้โกว และตัวแทนกระจกงามของเซอโมก็คือทะเลสาบกระจกเงา หรือจิ้งไห่ ซึ่งมีอยู่หลายแห่งในจิ่วไจ้โกวที่สะท้อนเงาของธรรมชาติลงบนแผ่นน้ำ อย่างที่ยากจะแยกไหนจริงไหนเงาได้โดยแท้ จนมีคำกล่าวอุปมาไว้ว่า “ดุจฝูงปลาแหวกว่ายบนท้องนภา หมู่ปักษาโบยบินบนแผ่นวารี” เลยทีเดียว
เมื่อเข้ามาในเขตอุทยานได้ไม่ไกลนัก ก็จะพบกับทะเลสาบต้นอ้อ (หลูเหวยไห่) ที่แลดูต้นอ้อสีขาวนวลพลิ้วไหลไปกับสายน้ำ ฟ้าใส ช่างงดงามและอ่อนช้อยยิ่งนัก จากนั้นก็จะมาถึงทะเลสาบมังกรหลับ (อั้วหลงไห่) ที่ตอนกลางของแอ่งทะเลสาบมีสีเหลืองของหินปูนตกผลึก เมื่อแลจากด้านบนแล้วดูคล้ายดั่งมังกรขาวกำลังหลับใหลพาดกลางอยู่ใต้แผ่นท้องน้ำ ถัดขึ้นมาไม่ไกลก็ต้องตื่นตาราวต้องมนต์สะกดกับทะเลสาบแรด (สู่หนิวไห่) อันมีสีฟ้าเข้มดุจน้ำทะเลที่ไม่รู้ว่าใครกันหนอได้หอบหิ้วมาเทไว้แต่แดนไกล ผสานกับสายหมอกยามเช้าที่ยังคงคลอเคลียกับแผ่นน้ำอย่างอ้อยอิ่ง มิค่อยยอมถอยห่าง แลดุจดั่งดินแดนในเทพนิยายชวนฝัน ที่เราได้พลัดหลงเข้ามาก็มิปาน...
มิทันจะหายอิ่มเอม ก็ได้พบกับน้ำตกนัวเย่อหลัง อันเป็นน้ำตกใหญ่อยู่ตอนกลางอุทยาน ที่ทิ้งตัวลงสู่หุบเบื้องล่างที่ลึกกว่า 20 เมตร ตลอดแนวยาว 300 เมตร คำว่า “นัวเย่อหลัง”เป็นชื่อที่ตั้งขึ้นเพื่อรำลึกถึงต๋าเกอ เพราะหมายถึงเทพบุตรผู้มีพละกำลังอันเข้มแข็ง โดยเปรียบเอาพลังของสายน้ำที่หลั่งไหลลงเบื้องล่าง ที่แม้นจะแลดูอ่อนช้อยแต่ก็แฝงไว้ซึ่งพละกำลังอันเข้มแข็ง ที่ใกล้ ๆ น้ำตกมีทางแยกไปซ้ายและขวา ระหว่างทางจะเห็นขุนเขาหิมะเซอโม ตั้งขึ้นเพื่อระลึกถึงนางผู้ลงมาตามหาแผ่นกระจกของเทพบุตรคนรัก เป็นยอดเขาสูงตระหง่านกว่า 4,136 เมตร กั้นแบ่งอุทยานให้เป็นสองเส้นทางท่องเที่ยวประดุจรูปตัววาย
แล้วก็มาถึงจุดสิ้นสุดของถนนเส้นซ้ายมือที่ทะเลสาบยาว (ฉางไห่) ณ ระดับความสูงสุดของอุทยาน คือ 3,103 เมตร ฉางไห่มีความยาว 8 กิโลเมตร กว้าง 4.4 กิโลเมตร แลเห็นขุนเขาหิมะโอบล้อมตัวทะเลสาบรอบด้าน บนเขาเห็นป่าสนอันเขียวครึ้มแลสลับกับป่าเปลี่ยนสีที่มาแต่งแต้มได้อย่างละลานตา
สัญลักษณ์ของจิ่วไจ้โกวอีกแห่งหนึ่งคือสระน้ำห้าสี (หวู่ไฉ่ฉือ) อัญมณีเม็ดงามแห่งจิ่วไจ้โกวที่อยู่ตอนก่อนถึงฉางไห่เล็กน้อย แม้นว่าสระน้ำแห่งนี้จะมีขนาดเล็ก แต่ก็เปี่ยมด้วยความอัศจรรย์ตาแก่ผู้มายลทุกคน เพราะสีสันของเธอมีความฉูดฉาดบาดตาเป็นที่สุด กล่าวกันว่า ในวันที่แสงแห่งตะวันสาดต้องลงมาถึงใต้ท้องธารนั้น จะนับได้หลากสีสันตามแร่ธาตุหลายชนิดที่แฝงอยู่เบื้องใต้ เช่น เหลือง น้ำเงิน ม่วง เขียว ฟ้า แดง ชมพู เป็นต้น ขึ้นอยู่กับจินตนาการของผู้ชม
กลับมาเส้นทางแยกฝั่งขวา มีสองทะเลสาบงามอยู่เคียงคู่กัน ตอนบนคือทะเลสาบไผ่ลูกศร (เจี้ยนจู๋ไห่) ทะเลสาบแห่งนี้มีชายหาดที่ขาวยาวสะอาด ตัดผืนน้ำสีฟ้าใสและทิวเขาสีเขียวเข้มผสานความงามกันได้อย่างลงตัว ส่วนทะเลสาบตอนล่างคือทะเลสาบหมีแพนด้า (สูงเมาไห่) ที่ใต้ท้องน้ำเต็มไปด้วยสาหร่ายพันธุ์ไม้น้ำงอกงามกับฝูงปลาที่แหวกว่ายกันอย่างมิรู้เหน็ดเหนื่อย ว่ากันว่า ในอดีตชาวทิเบตมักพบเห็นหมีแพนด้าลงมาดื่มน้ำในทะเลสาบแห่งนี้ เพราะในบริเวณใกล้เคียงมีไผ่ลูกศร อัน