The origin of the diamond blue, deep water an exceptionally difficult to find – this is still vague is more grain because there is no recorded, of course, but it is known that the first possession is considered jewellery trade students travel nationals of middle ages Church France 17th century name CHEONG dasmariñassm. New software ye eyes (Jean Baptist Tavernier) During the journey to the country of India Eye-ware new ye found rocks that have looked outside, like Sapphire large but actually is a raw diamond blue, size 112 3/16-Carat Diamond, the largest Blue diamond in the world in the past ever seen.Athan is the origin story that actually came from the stolen diamond eyes (some of which was that of nalat) of the cult image at her body which is Phra Nang SIDA laksami wife of Vishnu that India respect highly come down or die. Do not let the God loves man and curse anyone with this piece of property possession bangat. However, there are comments that this objection is not worthy of a legend is true, because the shape of the raw diamonds blue gem is not suitable as accessory at the eyes (or Lord nalat) of the cult image, but whether there will be a real curse? The fact that he will be able to continue it narrative suggests that those diamonds were successful owners of athan dire fate.After the eye-ware new ye back country France. He had this large diamond sales, Lord Louis of Bourbon, 14, and at the age of 84 years, and other eye new ye., died mysteriously at Russia. With the rumors that he was dead until the wolves tear the body. It is the first to make sacrifice, athan silver hope.เมื่อเพชรโฮปอยู่ในความครอบครองของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 สุริยกษัตริย์ผู้เรืองโรจน์ได้มีรับสั่งให้เจียระไนเพชรใหม่อีกครั้ง เนื่องจากการเจียระไนครั้งแรก ช่างฝีมือเน้นเรื่องขนาดมากกว่าความงามของน้ำเพชร ครั้งนี้พระองค์ทรงให้ตัดแบ่งเพชรออกเป็น 3 ส่วน ชิ้นแรกนั้นหายสาปสูญไป ส่วนอีกสองชิ้น ชิ้นหนึ่งได้รับการเจียระไนเป็นรูปหัวใจขนาด 67 1/8 กะรัต และใช้เป็นเพชรประดับประจำราชวงศ์ฝรั่งเศสมาอีกนับทศวรรษในชื่อ "เพชรมงกุฏสีน้ำเงิน" (Blue diamond of the crown) หรือ "สีน้ำเงินแห่งฝรั่งเศส" (French Blue) ซึ่งในเวลาต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็นเพชรโฮป ส่วนเพชรชิ้นสุดท้ายไม่มีหลักฐานแน่ชัดแต่เชื่อว่าคือเพชรที่เรียกว่า "บรันสวิก บลู "เวลาผ่านไป ความโชคร้ายก็เริ่มคืบคลานเข้าครอบงำสมาชิกราชวงศ์และผู้ที่เกี่ยวข้องกับเพชรทีละน้อย เสนาบดีคลัง นิโคลัส ฟูเก ที่เคยหยิบยืมเพชรไปใส่ ในที่สุดก็ต้องออกจากตำแหน่ง ทั้งยังต้องโทษติดคุก แต่ที่ร้ายไปกว่านั้น คือชะตากรรมของพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 และพระราชินีมารี อังตัวเนตต์ที่ได้รับสืบทอดเพชรแห่งหายนะ ทั้งสองพระองค์ถูกตัดพระเศียรด้วยกิโยตินอย่างน่าสยดสยอง ดังที่จารึกอยู่ในประวัติศาสตร์การปฏิวัติอันนองเลือดของฝรั่งเศสในปีคริสตศักราช 1789 และเพชรมรณะเม็ดนี้ก็ได้หายสาปสูญไปในเหตุการณ์วุ่นวายครั้งนี้ด้วย
ต่อมาในปี 1813 ณ กรุง ลอนดอน นายหน้าค้าเพชรนาม ดาเนียล เอเลียสัน (Daniel Eliason) ได้เพชรสีน้ำเงินเม็ดหนึ่งขนาด 44 กะรัตมาไว้ในครอบครอง ถึงแม้รูปร่างลักษณะจะไม่เหมือนเดิม แต่ด้วยความงามที่เป็นหนึ่งไม่มีสอง ทำให้ผู้ที่ได้พบเห็นเชื่อกันว่า มันก็คือเพชรน้ำเงินแห่งฝรั่งเศสที่ถูกเปลี่ยนรูปร่างไปเพื่อให้สะดวกต่อการขนย้ายข้ามชาติอย่างลับๆ กล่าวกันว่าผู้ที่ทำการเจียระไนคือ วิลเฮล์ม ฟาลส์ (Wilhlem Fals) นักเจียระไนชาวฮอลแลนด์ก็มีจุดจบอย่างน่าเศร้า ถูกบุตรชายของตนเองขโมยเพชรล้ำค่าไปจนตรอมใจตาย ในขณะที่บุตรคนนั้นในภายหลังก็ได้ฆ่าตัวตายอย่างไม่ทราบสาเหตุ
มีหลักฐานจากบางแหล่งว่าพระเจ้าจอร์จที่ 4 แห่งราชวงศ์อังกฤษก็เป็นพระองค์หนึ่งที่เคยได้ครอบครองเพชรอาถรรพ์ และทางราชวงศ์ต้องขายมันไปเมื่อสิ้นพระชนม์เพื่อจ่ายหนี้ที่มีอยู่มหาศาล จากนั้นเพชรก็ถูกเปลี่ยนมือไปเรื่อยๆ จนในปีคริสตศักราช 1939 เฮนรี ฟิลิปโฮป (Henry Philip Hope) เจ้าของมรดกบริษัทการธนาคารก็ซื้อเพชรสีน้ำเงินเม็ดนี้ไว้ เพชรมงกุฏแห่งฝรั่งเศสจึงได้กลายเป็นเพชรประจำตระกูลโฮป และได้ชื่อว่า "เพชรโฮป" นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
เรื่องเล่าว่ากันว่าตระกูลโฮปที่เคยร่ำรวย ต้องประสบมรสุมชีวิตและลงท้ายด้วยการล้มละลายเนื่องจากถูกคำสาปของเพชร ซึ่งตามข้อเท็จจริงมีอยู่ว่าหลังจากเฮนรี ฟิลิป โฮป ผู้ไม่มีบุตร เสียชีวิตลง เพชรโฮปได้ตกทอดเป็นมรดกไปถึงสมัยเหลนของเขาคือลอร์ด ฟรานซิส โฮป (Lord Francis Hope) ซึ่งเป็นนักพนันตัวยง เขาได้ผลาญเงินของตระกูลไปกับการพนัน จนในที่สุดก็ต้องขายเพชรเพื่อใช้หนี้และตระกูลโฮปต้องเผชิญกับความลำบากไปอีกหลายชั่วอายุคน
เพชรโฮป
อีกครั้งที่เพชรโฮปได้เดินทางไปทั่ว ผ่านพระหัตถ์ของเจ้าชายคานิตอฟสกีแห่งรัสเซีย ซึ่งทรงได้มอบเพชรเป็นของกำนัลแก่นางละครที่โฟลีส์ แบแย (Folies Bergere) คนเดียวกับที่พระองค์ทรงยิงจนเสียชีวิตในอีกไม่กี่วันต่อมา ส่วนตัวเจ้าชายก็ถูกพวกกบฏแทงสิ้นพระชนม์ตามไปติดๆ ไปจนถึงชาวกรีกคนหนึ่งชื่อ ไซมอน มอนธะริเดส (Simon Montharides)ที่ซื้อเพชรโฮปไว้แต่ก็ต้องประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์จนเสียชีวิตทั้งครอบครัว ถึงปีคริสศักราช 1908 สุลต่านอับดุล ฮามิดที่ 2 แห่งตุรกี (Abdul-Hamid II) ที่ได้ครอบครองเพชรเพียงสองสามเดือนก็ถูกรัฐประหารปลดออกจากตำแหน่ง และในปลายปีถัดมา นายหะบิบ เจ้าของเพชรชาวอียิปตคนใหม่ก็เสียชีวิตจากเรืออัปปาง ที่ช่องริโอ
ผู้ครอบครองเพชรโฮปคนต่อมาคือ นางเอวาลีน วอลซ์ แมคลีน (Evalyn Walsh Mclean) ภรรยานายเอ็ดเวิร์ด แมคลีน (Edward Mclean) เจ้าของหนังสือพิมพ์วอชิงตัน โพสต์ บุตรชายของนางถูกรถชนเสียชีวิต และต่อมาไม่นานนายเอ็ดเวิร์ดก็กลายเป็นคนวิกลจริตและจบชีวิตในโรงพยาบาลโรคประสาท
เมื่อเริ่องราวร้ายๆดูจะเกิดขึ้นติดต่อกันไม่หยุดหย่อน ในที่สุดนายแฮร์รี่ วินสตันเจ้าของคนสุดท้ายจึงตัดสินใจบริจาคเพชรโฮปให้แก่สถาบันสมิธโซเนียน (Smithsonian Institution) ที่วอชิงตัน ดี ซี ในปี 1958 ซึ่งเพชรโฮปได้อยู่อย่างสงบที่นั่นจนถึงปัจจุบันนี้
การแปล กรุณารอสักครู่..
