ตามที่ได้พบหลักฐานทางโบราณคดีดังกล่าวนี้เอง ทำให้นักโบราณคดีและ นักประวัติศาสตร์จากอังกฤษ มาเลเซีย และสหรัฐ ที่เดินทางเข้ามาสำรวจต่างก็ให้ ความเห็นลงรอยเดียวกันว่า เมืองประแวนี้แหละ คือ เมืองลังกาสุกะที่ปรากฏใน จดหมายเหตุจีนพุทธศตวรรษที่ 11 - 12 และเอกสารช่วงในพุทธศตวรรษที่ 20 แล้วเงียบหาย ไปในพุทธศตวรรษที่ 21 คุณอนันต์ ผู้มีโอกาสเคยไปสำรวจตำบลต่างๆ ห่างไกลออกไปมาก่อน ได้ให้ความเห็นว่า เมืองประแวนี้เป็นเมืองปัตตานีเก่าที่ย้ายมาเป็นแห่งที่ 3 นับจากบริเวณ สนามบิน - วัดคูหาภิมุข ไปอยู่ที่อำเภอรือเสาะ แล้วจึงย้ายเมือง (ศูนย์การปกครอง) มาที่เมืองประแว...)
สารานุกรมวัฒนธรรมภาคใต้ พ.ศ. 2529 ได้บันทึกเรื่องราวความเป็นมาของปัตตานีไว้ดังนี้ ในท้องที่ปัตตานีปัจจุบัน มนุษย์ได้เคลื่อนย้ายเข้าไปอาศัยตั้งถิ่นฐานมานานนับปี จากการสำรวจ ทางโบราณคดีเบื้องต้น ได้พบร่องรอยของชุมชนโบราณในปัตตานีที่ อำเภอยะรัง รู้จักกันโดย ทั่วไปในภาษาท้องถิ่นว่า "เมืองประแว" ซึ่งเชื่อกันว่าเพี้ยนมาจากคำว่า "พระวัง" หรือ "พระราชวัง" หรือตรงกับภาษามลายูโบราณว่า "โกตามะลิฆา" หรือ "โกตา ม้ะฮ์ลิฆา" และปรากฏในเอกสารของชาวต่างชาติ โดยเฉพาะเอกสานจีน อาหรับและชวา ตราสำเนียง ท้องถิ่นว่า "ลังกาสุกะ" เป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรือง อยู่ระหว่างพุทธศตวรรษที่ 10 - 18 ตามข้อ สันนิษฐานของประทุมชุ่มเพ็งพันธ์ เชื่อว่า "...ลังกาสุกะ มีอาณาเขตกว้างขวาง มีกำลังอำนาจ เทียบได้กับอาณาจักรขนาดย่อมแห่งหนึ่งทีเดียว เพราะหลักฐานทางโบราณคดีที่ค้นพบ ยืนยันในข้อนี้เป็นอย่างดี แต่ไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่า ตอนที่เมืองลังกาสุกะเจริญสูงสุด มีอาณาเขตปกครองจากไหนถึงไหน ทราบเพียงว่าภายหลังเสื่อมอำนาจ ถูกอาณาจักรตามพรลิงค์ (นครศรีธรรมราช) ผนวกไว้เป็นดินแดนเดียวกัน ถ้าพิจารณาจากจดหมายเหตุอาหรับ และจีน ทำให้ทราบคร่าว ๆ ว่าเมืองลังกาสุกะเป็นเมืองใหญ่ อาณาเขตด้านทิศเหนือติดต่อเมืองสงขลา และเมืองพัทลุง อาณาเขตด้านทิศใต้แผ่ไปสุดแหลมมลายู ทางด้านตะวันออกจดอ่าวไทย ทางด้านตะวันตกจดฝั่งทะเลตะวันตกในทะเลอันดามัน ..." เมืองไทรบุรีโบราณจึงรวมอยู่ใน อาณาจักรลังกาสุกะ ในตำนานพื้นเมืองของปัตตานี กล่าวว่าผู้สร้างเมืองพระวัง หรือ โกตา ม้ะฮ์ลิฆา คือ เสียม อัสลี ตามร่องรอยที่หลงเหลืออยู่ในปัจจุบัน เมืองนี้เป็นเมืองขนาดใหญ่ โบราณสถาน ในเมืองปรักหักพังหมด เหลือแต่เฉพาะกองอิฐ ซึ่งเชื่อกันว่า เคยเป็นเจดีย์ อุโบสถ วิหาร และเทวาลัย มีอยู่ทั้งหมดประมาณ 16 แห่ง และสระน้ำขนาดใหญ่อีก 3 แห่ง ศิลปวัตถุของ เมืองนี้จึงกระจัดกระจายอยู่ในที่ต่างๆ กัน มีหลายอย่างด้วยกันคือ พระพุทธรูปศิลาสมัยทวารวดี พระโพธิสัตว์สัมฤทธิ์ ศิวลึงค์ เสมาธรรมจักร เครื่องถ้วยชามจีน เครื่องปั้นดินเผา เงินเหรียญชวา และเงินเหรียญอาหรับ เป็นต้น จากหลักฐานเหล่านี้ แสดงให้เห็นว่า เมืองลังกาสุกะเป็นเมืองที่ประชาชนนับถือพุทธศาสนา ลัทธิมหายาน และศาสนาฮินดู ส่วนชาวเมืองนั้นไม่ทราบแน่ชัดว่าเป็นชนชาติใด ตามความเห็นของผู้บันทึกประวัติศาสตร์ปัตตานีคนหนึ่ง คือ อิบรอฮิม ชุกรี เชื่อว่าดินแดน ปัตตานี เป็นที่อยู่ของชาวสยามมาก่อนที่ชาวมาเลย์จะอพยพนำเอาศาสนาอิสลามเข้ามา ตอนปลายพุทธศตวรรษที่ 21 ในรัชสมัย พระเจ้าศรีวังสา กษัตริย์ซึ่งนับถือพุทธศาสนาองค์สุดท้ายของอาณาจักร ลังกาสุกะ ปกครองเมืองพระวังตอนปลายพุทธศตวรรษที่ 21 มีชาวมลายูเดินทางมาปลายแหลม มลายู และสุมาตรา มาตั้งบ้านเรือนอาศัยอยู่บริเวณริมฝั่งทะเลของเมืองพระวัง จนในที่สุด ชุมชนของชาวมลายูค่อย ๆ เจริญขึ้นเพราะสามารถติดต่อกับพ่อค้าต่างชาติได้สะดวก แตกต่างไปจากเมืองพระวัง ซึ่งอยู่ห่างทะเลเข้าไปหลายสิบกิโลเมตร ค่อยๆ เสื่อมโทรมลงไป เพราะชาวเมืองได้อพยพไปอยู่ที่อื่น ชุมชนของชาวมลายูนี้ ต่อมาได้พัฒนากลายเป็น "เมืองปัตตานี" ปัจจุบัน เป็นศูนย์กลางปกครองท้องถิ่น แทนเมืองพระวัง ซึ่งค่อย ๆ เสื่อมสลายไปโดยไม่ทราบ สาเหตุชัดเจน นอกจากจะอยู่ห่างไกลทะเล และเป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนาและศาสนาฮินดู แต่เมืองปัตตานีกลับอยู่ใกล้ทะเลและเป็นศูนย์กลางของศาสนาอิสลาม