บุตรรักแห่งบิดาทั้งหลาย
....................................
การที่พวกเจ้าหันหน้าเข้าหาธรรมะในยามที่ต้องปะทะกับความทุกข์
เพื่อค้นหาหนทางนำพาตนเองให้พ้นทุกข์
และเพื่อน้อมนำพาจิตตนเองออกไปจากสภาวะแห่งทุกข์นั้น
มันอาจเป็นบทบาทพฤติกรรมที่น่าชื่นชมและดูดีก็จริงอยู่
แต่พวกเจ้าก็จักต้องรู้ว่า.....
การปฏิบัติเช่นนั้นน่ะ ไม่ว่าจะเป็นธรรมะที่ว่าด้วยเรื่องใด
ก็คงจะเป็นประโยชน์ในการช่วยปลดทุกข์ของพวกเจ้าได้แค่เพียงชั่วคราวเท่านั้นเอง
พอดับทุกข์หนึ่งได้
เดี๋ยวไม่นานก็มีทุกข์ใหม่เกิดขึ้นมาอีก
ไม่ต่างจากตัวเจ้าจักเป็นเสมือนดั่งหาดทรายที่ถูกคลื่นซัดสาดอยู่โครมครืน
คลื่นลูกแรกซัดเข้ามาแล้วซาไป คลื่นลูกใหม่ก็จะไล่ตามมาซัดสาดซ้ำ
มันจะเป็นของมันอยู่อย่างนั้นตลอดไป
พวกเจ้าจักต้องรู้ว่า....
ในชีวิตประจำวัน สิ่งที่เจ้าเรียกว่า "ความทุกข์" ทั้งหลายนั้น
เจ้าไม่มีวันหนีพ้น และเจ้าจะไม่มีวันเอาชนะมันได้เบ็ดเสร็จหรอก
ไม่ว่าจะด้วยธรรมะ หรือด้วยพระโอวาทคำสอนแห่งพระบิดาเองก็ตาม
เพราะสิ่งที่เจ้าเผชิญหรือผจญในชีวิตแล้วเรียกมันว่า "ความทุกข์" นั้น
มันคือเหตุการณ์หรือเรื่องราวที่ตัวเจ้าเองรู้สึกว่า.....
"ทนได้ยาก"
หรือว่า "ไม่อยากทน"
หรือว่า "ทนไม่ไหว"
หรือว่า "ทนไม่ได้"
อย่างใดอย่างหนึ่งทั้งสิ้น.....
ดังนั้น
สิ่งที่เรียกว่าความทุกข์มันจึงเป็นเรื่องส่วนตัว ของใครของมัน
ความทุกข์ของใครคนหนึ่ง จึงอาจเป็นความปกติเฉยๆของใครคนอื่นๆก็ได้
พวกเจ้าทั้งหลายจักต้องรู้ว่า....
อันความทุกข์ของพวกเจ้าแต่ละคนนั้น
มันล้วนเป็นบทละครชีวิตที่จิตวิญญาณพวกเจ้าลิขิตขีดเขียนมันขึ้นไว้
เพื่อมาแสดงร่วมกัน ตั้งแต่ภพชาติแรกที่ได้รับโอกาสให้มาเกิดเป็นมนุษย์
และยังเป็นบทละครกรรมหรือ "ชะตากรรม" ที่พวกเจ้ากันเองอีกนั่นแหละ
ขีดเขียนกันขึ้นมาตาม "กฎแห่งกรรม" เมื่อได้รับโอกาสให้ได้เกิดเป็นมนุษย์แล้ว
ปัญหาในการดำเนินชีวิตของตนเอง
ปัญหาในการดำเนินชีวิตร่วมกันกับคนหมู่มาก
อันเป็นที่มาของความทุกข์ทั้งหมดทั้งมวลของเจ้า
มันจึงล้วนเกิดจากการเขียนบทเอง หรืออำนวยการสร้างเองโดยแท้
แม้แต่การที่คนใกล้ตัวของเจ้าในครอบครัว ในทีมงาน หรือในสังคม หากมีคนใดคนหนึ่งกระทำไม่ถูกต้องต่อตัวเจ้า เช่น สร้างปัญหาน้อยใหญ่หรือทำตนเป็นอุปสรรคในการดำเนินชีวิตและการทำงานของเจ้า คนเหล่านี้ก็ล้วนแสดงไปตามบทที่ตัวเจ้าเองได้ขีดเขียนกันมาทั้งสิ้น
กุศโลบายที่จิตวิญญาณของเจ้า สร้างเงื่อนไขในบทละครชีวิตของตนเองให้มันเป็นปัญหา ให้มันมีอุปสรรค มิได้ราบรื่นเสมอไปสมใจอยาก ก็เพราะต้องการให้เจ้าเกิดสิ่งที่เรียกว่า "ความทุกข์" นั่นแหละ เพราะความทุกข์จะเป็นเงื่อนไขกระตุ้นให้เกิดการสั่นสะเทือนทางจิตใจ และสมองมนุษย์ของพวกเจ้า ให้มีการยกระดับหรือพัฒนาขึ้นมาได้นั่นเอง
เรื่องลบๆร้ายๆมันคือเงื่อนไขด้านลบที่จะเป็นเหตุแห่งโทสะ โลภะ และโมหะได้
เรื่องบวกๆหรือเรื่องดีๆคือเงื่อนไขด้านบวก ก็จะเป็นเหตุแห่งโลภะ และโมหะได้อีกเช่นกัน มันล้วนยังผลให้เกิดการสั่นสะเทือนทางจิตใจขึ้นมาได้ทั้งนั้น จิตวิญญาณแก่นแท้ของเจ้าจึงต้องสร้างเหตุการณ์ สถานการณ์ หรือเรื่องราวทั้งที่ดีและไม่ดี โดยให้ผู้ร่วมชะตาชีวิตและชะตากรรม ที่เป็นคนใกล้ตัวของเจ้า ช่วยแสดงบทบาทช่วยสร้างเงื่อนไขไปตามบทละครนั้นๆก็มีมาก และที่เป็นบทละครทั้งดีร้ายที่พวกเจ้าแต่ละคนถือติดตัวมาเองแต่กำเนิดกันก็มี เช่น เกิดมากำพร้า เกิดมารวย เกิดมาจน หรือเกิดมาแล้วพิการไม่สมประกอบด้านกายสังขาร หรือป่วยทางด้านจิตใจ เป็นต้น
นอกจากนั้น สิ่งที่เป็นปัญหาซึ่งเป็นเงื่อนไขด้านลบหรือบวกก็ตาม
มันยังจะช่วยกระตุ้นให้เกิดการสั่นสะเทือนทางปัญญาของสมองมนุษย์ของเจ้าได้อีกต่างหากด้วย
เจ้าต้องรู้ว่า....
หน้าที่ทางจิตวิญญาณแก่นแท้ของพวกเจ้าแต่ละคน ในบทบาทของการเป็นมนุษย์นั้น คือ มาทำหน้าที่เป็นเพื่อนร่วมงานกับโลก อันหมายถึงเพื่อนมนุษย์ สัตว์ทั้งหลาย และดาวเคราะห์โลกดวงนี้ ด้วยการสร้างแรงสั่นสะเทือนทางจิตใจให้เป็นความรัก เพื่อผลิตสร้างพลังงานจิตในรูปของคลื่นไฟฟ้าแม่เหล็กด้านบวก มอบให้แก่ดาวโลก เพื่อใช้นำการขับเคลื่อนโลกให้เหวี่ยงหมุนรอบตัวเองอย่างต่อเนื่อง จะได้รักษาสมดุลไว้ เพื่อช่วยผลิตสร้างก๊าซออกซิเจนออกมาจากแกนโลก และผลิตสร้างสนามแม่เหล็กโลกเป็นกำแพงห่อหุ้มคุ้มครองดาวโลกไว้ให้แข็งแรงตลอดไป เป็นสำคัญ และให้ได้ใช้ปัญญาในการคิดดี พูดดี และกระทำแต่สิ่งดีๆต่อกัน
เพราะดาวโลกต้องการพลังอำนาจด้านบวกจากพวกเจ้าค่อนข้างมาก
จิตวิญญาณของเจ้า จึงต้องเขียนบทละครที่เป็นเงื่อนไขด้านลบค่อนข้างแรงเอาไว้ให้พวกเจ้าได้แสดงอย่างสมบทบาท เพื่อใช้เงื่อนไขของการโกรธมาก โมโหมาก หงุดหงิด รำคาญใจมาก ฯลฯ นี่แหละ ให้พวกเจ้าได้เรียนรู้ที่จะสั่นสะเทือนด้านบวกมากๆเพื่อจะสามารถอดทน อดกลั้น และอภัยต่อการกระทำที่เลวร้ายของคนอื่นต่อตัวเจ้าได้นั่นแหละ ดาวโลกก็จักได้พลังงานได้บวกจากพวกเจ้าได้มากขึ้นตามไปด้วย
บุตรรักแห่งบิดาทั้งหลาย....
พวกเจ้าจึงสมควรที่จะรู้สำนึกและมีสำนึกในความจริงที่เป็น "อนุตรธรรม"
ซึ่งพระบิดาแห่งเจ้าได้ไขขานเอามาเล่าให้เจ้าได้รับรู้ให้เกิดสติโดยทั่วกันเถิดว่า
เจ้าจงอย่ารังเกียจความทุกข์ อย่าปฏิเสธความทุกข์ อย่าเข้าใจความทุกข์ผิดไปจากความจริงกันต่อไปอีกเลย เพราะว่าเรื่องร้ายๆในชีวิตของเจ้านั้นเจ้าลิขิตมันขึ้นมาเอง เพราะมันเป็นกุศโลบายของจิตวิญญาณ ในการใช้เครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์ของพวกเจ้า ทำหน้าที่สร้างความรักความเมตตาขึ้นมาจากข้างในจิตใจตนเองเพื่อใช้พลังแห่งรักนั้น "ค้ำจุน" ดาวโลกให้สมดุล ด้วยกระบวนการทางพลังงานที่สองตาเปล่าของพวกเจ้ามองไม่เห็น แต่สามารถพิสูจน์สัจธรรมนี้ได้เสมอ
การที่เจ้าหนีทุกข์แล้วออกบวช
การที่เจ้าหนีทุกข์แล้วออกเดินป่า ท่องไพร ไปหลบอยู่ในเถื่อนถ้ำนั้น
เจ้าเคยพิจารณากันบ้างหรือไม่ว่า ตัวเจ้าไปไหนเจ้าก็นำเอาความทุกข์นั้นๆของเจ้าติดตัวไปด้วยในทุกที่ แม้ว่าเจ้าอาจละทิ้งปัญหาทางโลกในชีวิตจริงเอาไว้เบื้องหลังก็ตาม....เพราะเหตุว่า
สิ่งที่เป็นความทุกข์ของเจ้า มันมิได้อยู่ที่ตัวปัญหาที่เจ้าเผชิญหรอก
ถึงแม้เจ้าจะทิ้งปัญหานั้นๆเอาไว้ข้างหลังก็จริงอยู่ แต่ความทุกข์ซึ่งเป็นปัญหาจริงๆซึ่งมันอยู่ที่ในใจ