อันสรรพสิ่งบนโลกจะมีความหมายหรือไม่มีความหมาย ล้วนเกิดจากการที่จิตไปรู การแปล - อันสรรพสิ่งบนโลกจะมีความหมายหรือไม่มีความหมาย ล้วนเกิดจากการที่จิตไปรู อังกฤษ วิธีการพูด

อันสรรพสิ่งบนโลกจะมีความหมายหรือไม่

อันสรรพสิ่งบนโลกจะมีความหมายหรือไม่มีความหมาย ล้วนเกิดจากการที่จิตไปรู้สึกว่ามีหรือไม่มี แล้วสมมติสิ่งที่รู้สึกว่ามีและไม่มีขึ้นว่าเป็นอะไร มีค่ามีราคาหรือไม่มีค่าไม่มีราคา เป็นของจริงหรือของปลอม

เมื่อเกิดความรู้สึกนึกคิดว่ามีว่าเป็นก็เข้าไปยึดสิ่งนั้น การที่จิตยึดสิ่งต่างๆ ก็เพราะความหลงหรือเพราะความไม่รู้หรือรู้ผิด ดังนั้น เมื่อใดที่จิตไม่เข้าไปยึดในสิ่งใด ก็จะไม่ทำให้เกิดความรู้สึกว่าเกิดมีไ...ด้มีเสียต่อสิ่งนั้น ประดุจดั่งเมื่อเรานอนหลับแล้วจิตเกิดการปรุงแต่งขึ้นขณะที่กำลังหลับ ด้วยการฝันเห็นถึงเรื่องราวในอดีต ปัจจุบัน แม้เกิดความฝันถึงเรื่องราวต่างๆ ที่ไม่เคยจดจำมาหรือเคยคิดนึกมาก่อนก็ตาม

ทันทีที่ตื่นจากความฝันเรื่องราวต่างๆ ก็มลายหายไปสิ้น มนุษย์ต่างรับรู้ว่าความฝันเป็นสิ่งไม่จริง ด้วยเหตุนี้ขณะที่นอนหลับสนิท และฝันถึงเรื่องราวต่างๆ เรื่องราวต่างๆ นั้น ผู้ที่ฝันก็ไม่ได้เห็นว่าความฝันของตนเป็นเรื่องจริงจังอะไร ว่าไปแล้วความฝันอาจจะเกิดจากประสบการณ์ ที่ประสบพบเห็นมาขณะที่ยังไม่หลับ หรือเกิดจากเรื่องราวที่จิตสร้างขึ้นมาใหม่ที่เรียกว่า “จินตนาการ”

กระนั้น ใครๆ ก็ทราบดีว่าความฝันไร้สาระยึดถือไม่ได้ เหมือนกับการดูหนังดูละคร ทุกคนเห็นว่าเรื่องราวที่แสดงเป็นละคร คือเป็นเรื่องราวที่คน (นักประพันธ์) แต่งขึ้น จึงไม่ยึดถือว่าเป็นเรื่องจริง แต่ในทางโลกุตรธรรมชีวิตของผู้คนก็เหมือนกับเรื่องราวในละคร คือเป็นเรื่องไม่จริง ที่ว่าไม่จริงเพราะแต่ละขณะ แต่ละนาทีแต่ละชั่วโมงแต่ละวัน ต่างผันแปรเปลี่ยนแปลงไป ไม่มีอะไรอยู่คงทนถาวรประการหนึ่ง อีกประการหนึ่งนั้น สรรพสิ่งเป็นมายามิอาจจะยึดถือสิ่งใดๆ มาเป็นสิ่งที่เป็นสาระใดๆ ได้

แน่นอนเมื่อใดที่เรายึดถือว่า เราเป็นคนหรือเป็นมนุษย์จริงๆ ร่างกายนี้เป็นของเราจริงๆ และเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับชีวิตของเราก็เป็นเรื่องราวจริงๆ เราก็ต้องรับกรรมหรือรับผลของการกระทำต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกรรมดีหรือกรรมไม่ดีแล้ว ก็จะทำให้จิตใจเป็นทุกข์หรือเครียดหรือกลุ้ม

เหนืออื่นใดหากไม่กำหนดรู้ด้วยสติและไม่มีปัญญา จะไม่เห็นความคิดและไม่รู้ที่มาของความคิด แต่ไปสำคัญมั่นหมายว่าเราคิด ทำให้เราถูกสั่งให้ทำตามความคิดตลอดเวลา เฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคิดมาก ก็สับสนมาก และเป็นทุกข์ใจแท้ที่จริงไม่มีใครเป็นผู้ทุกข์ เพราะทุกสิ่งที่ปรากฏนั้นเป็นธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม อากาศ วิญญาณ ตามสมมติ ในขณะที่รูปกระทบนาม หรืออารมณ์กระทบจิต แล้วเกิดอาการหรือปรากฏการณ์นั้นๆ ขึ้น ส่งผลให้ให้จิตสำคัญมั่นหมายว่าเป็นตนเป็นของตน ซึ่งก็เป็นแต่เพียงความรู้สึกไม่ใช่เป็นจริงๆ ตามที่เราคิดนึก

เมื่ออนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ปรากฏให้เห็นด้วยตาปัญญา จึงรู้ว่าไม่มีตัวตนในขันธ์๕ และยึดถือไม่ได้และผู้ยึดถือก็ไม่มี เพราะความคิดหรือจิตเป็นอนัตตา

ดังนั้น ขันธ์๕ ก็เลยมีไม่จริงเป็นแต่เพียงสมมติสัจจะ คือความจริงโดยสมมติเท่านั้น แบบเดียวกับคลื่นกระทบฝั่งลูกแล้วลูกเล่า มีแล้วหายไปเหมือนกับชีวิตคนโดยสมมติ จึงไม่มีใครเกิดและไม่มีใครตาย นอกจากธรรมชาติที่มาประชุมกัน แล้วเปลี่ยนแปลงไปไหลไป ตามกฎธรรมชาติก้อนแล้วก้อนเล่า

ถ้ารู้เช่นนี้และปฏิบัติให้เห็นสัจจธรรมจริงๆ จะไม่กลัวตาย และไม่ถามว่าตายแล้วจะไปไหน เพราะไม่มีผู้มาและไม่มีผู้ไป ถ้าการดับของ ขันธ์ ๕ เป็นไปอย่างบริสุทธิ์ ไม่มีกิเลสหรืออวิชชาเหลืออยู่ จะไม่มีการเวียนมาของธาตุ ขันธ์ ๕ ให้เป็นทุกข์อีก จึงต้องเจริญสติปัญญาให้แหลมคมและแข็งแกร่ง เพื่อดับเหตุ ทำลายเหตุ คืออวิชชา ตัณหา อุปาทาน และกรรมให้สิ้นไป เพราะเห็นแจ้งซึ่งสัจจธรรมที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน

เมื่อเห็นแจ้งแทงตลอดว่าทุกสิ่งเป็นอนิจจัง ต้องเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา และทุกสิ่งทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ (ทุกขัง) อีกทั้งยังไร้ตัวตนหรือกลับไปสู่ความว่างเปล่าที่เรียกว่า สุญญตา หรือ อนัตตา ก็จะทำให้จิตหรือไม่ทำให้จิตเกิดความผูกพันกับสิ่งใดๆ

สรุปว่าการที่จิตหมดการยึดถือ หรือหมดการผูกพันในสภาวะธรรมทั้งปวง ก็เพราะจิตคิดนึกว่าไม่มีอะไรจริงในโลกนี้ นอกจากกฎธรรมชาติที่เป็นไปตามกฎของสรรพสิ่ง ที่ว่า สิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นจากเหตุปัจจัย (อิทัปปัจจยตา) ที่ครอบคลุมปรากฏการณ์ทั้งหลายโดยแสดงออกด้วย อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

เมื่อหมดการเรียนรู้ก็จะหยุดดู หยุดรู้ หยุดหมุนไปตามกระแสโลกและกระแสธรรม ออกมาเหนือโลก เหนือธรรม เหนือสุข เหนือทุกข์ เหนือความยึดมั่นถือมั่นใดๆ เป็นความรู้สึกปลี้ๆ เปล่าๆ ที่ไม่เป็นอะไร ไม่เกิดไม่ดับ มีแต่รู้อยู่ เห็นอยู่ ซึ่งเป็นความรู้ความเห็นต่อสรรพสิ่งว่า เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้

เมื่อกล่าวถึงที่สุดแล้วการรู้แจ้งที่เรียกว่าการบรรลุธรรมนั้น คือการรู้แจ้งต่อสภาวะกายและใจ ว่าล้วนเป็นทั้งสิ่งปรุงแต่งและไม่ปรุงแต่ง และกายกับใจเป็นมายาภาพเป็นของไม่เที่ยงแท้และแน่นอนว่าเป็นของไม่จริง แต่การที่เราคิดนึกว่ามันเป็นกายใจเราจริงๆ นั้น เกิดจากการหลงผิด หลงไปคิดไปนึกว่าร่างกายคือตัวเรา หรือเราเป็นเจ้าของร่างกาย

เมื่อใดก็ตามที่ใจเราเข้าใจว่าใจมีจริงๆ กายเรามีจริง เมื่อนั้นก็ทำให้จิตใจเราขาดอิสระภาพ และมีชีวิตอยู่อย่างนักโทษที่จองจำด้วยโซ่ตรวนที่มองไม่เห็น เป็นนักโทษที่ถูกจองจำด้วยความหลงผิดของเราเองแท้ๆ

ทั้งนี้ ส่งผลให้จิตใจต้องคิดนึกสับสนวุ่นวาย แล้วพากายให้ไปไขว้คว้าแสวงหาสิ่งภายนอกที่บางคนเรียกว่า “แสวงหาตนเอง” หรือ “ค้นหาตนเอง” ด้วยการดำดิ่งลึกลงไปใน “ความคิดและความรู้สึก” ของตนเอง ทั้งๆ ที่มันเป็นตนเองที่ไร้ตนเอง คือตนเองที่เกิดจากความรู้สึกนึกคิด การค้นหาตนเองจึงพบแต่ความว่างเปล่า เพราะตนเองก็หามีตนเองไม่ ผู้ที่ค้นหาตนเองจึงเปรียบประดุจดั่งผู้ที่ขับขี่รถยนต์ เพื่อแสวงหารถยนต์ที่กำลังขับอยู่

มื่อเป็นเช่นนี้การแสวงหาตนเอง หรือการค้นหาตนเอง จึงเปรียบเสมือนมายาบุรุษคนหนึ่งค้นหามายาบุรุษอีกคนหนึ่ง ในที่สุดสิ่งที่เขาต้องประสบก็คือ “หลงทาง” หรือไปเจอ “ทางตัน” ในระหว่างการแสวงหานั้น คือไม่ได้รับผลใดๆ จากการค้นหา หรือจากการแสวงหานั้น

นั่นจึงเป็นเรื่องที่น่าขบขันเสียเหลือเกิน ที่ผู้คนส่วนใหญ่ต่างนั่งอยู่ในรถยนต์ แล้วก็หลงไปแสวงหารถยนต์ หรือขณะที่ลอยคออยู่ในน้ำแล้วแสวงหาน้ำ
0/5000
จาก: -
เป็น: -
ผลลัพธ์ (อังกฤษ) 1: [สำเนา]
คัดลอก!
And things on the Earth are meaningful or not meaningful plain caused by the mind to feel that with or without, and then imagine what it feels that there is no more what it is. Is there a price or no price is real or fake? When I was there, I think it is thought to rely on that. The mind based on things, because of lost or because of ignorance or error, so whenever the mind is to seize on anything, it will not cause a feeling that there was something yato ด้มีเสี ... For example, what happens when we sleep, mental action occurred while you're asleep. With a dream to see the story in the past. At present, even a dream story that has never been recognized or ever thought would come before the ceremony. As soon as they wake up from a dream of a story, it will disappear. The realization of that dream is not real. For this reason, while the sleep and dream about the matters the story those who dream, did not see that their dreams are serious matters! It has been a dream may be caused by successful experiences encountered while still not asleep or caused mental stories rebuilt, called "imagine," he said. Nonetheless, anyone know how ridiculous dreams upheld is not identical to the movie theatre to see everyone sees the story as a drama is a story that people (composer) dressed up so it is not based on whether it is true, but on the people's life in the hereafter, it is similar to the story in the drama is that it's not true that that is no longer true because each moment. Each minute, each hour, each day is different, variable changes. Nothing is permanent, lasting another mandate. Things as Maya does may be based on anything from any projections as to what that is. Of course whenever we upheld what we as the human body really is, or is this really our, and a story that has happened to our lives, it is a story we really just have to get on track or is the result of actions, regardless of whether it is good karma or bad karma, then, the soul is suffering or stress or age. If not otherwise defined above with consciousness and knowledge, there are no intelligence will not see the idea and did not know the source of the idea but to the intention and whether we think. We are instructed to follow the idea all the time especially when thinking it is very confused and distressed, ensuring there are no genuine who is suffering because of everything that appears is the Earth. Water, fire, wind spirit air based on assumed. While the mental effects of mood or rupkrathop, then the phenomenon or symptom occurs, as a result, it is the intention to be critical of ourselves that it's just a feeling, not really as we think. When all the transience of detention appeared to see anatta intelligence knows that there is no identity in Khan 5 and upheld, and they upheld it because they have no idea or mind as anatta. Therefore, there is actually no 5 Khan is a fictional character, but just saying the truth is the truth, by assuming only. The same way as the surf candy, candy story. There and then disappears like a fictional life. So no one is born and no one died. In addition to meeting natural and altered the natural flow of bale bale rules already? If such knowledge and practices, see mercy chotrarom really won't be afraid to die and do not ask whether the dead will go nowhere because there are no people and no people. If the number of Khan's only goals scored in 5. There are no remains of ignorance or lust, no merge of that Khan, another distressed 5 must therefore be strong and sharp, intellectual growth, so why destroy the level of ignorance is the reason both passion and innovation, which is an end to mercy because the relevant chotrarom relative to each other. เมื่อเห็นแจ้งแทงตลอดว่าทุกสิ่งเป็นอนิจจัง ต้องเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา และทุกสิ่งทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ (ทุกขัง) อีกทั้งยังไร้ตัวตนหรือกลับไปสู่ความว่างเปล่าที่เรียกว่า สุญญตา หรือ อนัตตา ก็จะทำให้จิตหรือไม่ทำให้จิตเกิดความผูกพันกับสิ่งใดๆ สรุปว่าการที่จิตหมดการยึดถือ หรือหมดการผูกพันในสภาวะธรรมทั้งปวง ก็เพราะจิตคิดนึกว่าไม่มีอะไรจริงในโลกนี้ นอกจากกฎธรรมชาติที่เป็นไปตามกฎของสรรพสิ่ง ที่ว่า สิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นจากเหตุปัจจัย (อิทัปปัจจยตา) ที่ครอบคลุมปรากฏการณ์ทั้งหลายโดยแสดงออกด้วย อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เมื่อหมดการเรียนรู้ก็จะหยุดดู หยุดรู้ หยุดหมุนไปตามกระแสโลกและกระแสธรรม ออกมาเหนือโลก เหนือธรรม เหนือสุข เหนือทุกข์ เหนือความยึดมั่นถือมั่นใดๆ เป็นความรู้สึกปลี้ๆ เปล่าๆ ที่ไม่เป็นอะไร ไม่เกิดไม่ดับ มีแต่รู้อยู่ เห็นอยู่ ซึ่งเป็นความรู้ความเห็นต่อสรรพสิ่งว่า เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ เมื่อกล่าวถึงที่สุดแล้วการรู้แจ้งที่เรียกว่าการบรรลุธรรมนั้น คือการรู้แจ้งต่อสภาวะกายและใจ ว่าล้วนเป็นทั้งสิ่งปรุงแต่งและไม่ปรุงแต่ง และกายกับใจเป็นมายาภาพเป็นของไม่เที่ยงแท้และแน่นอนว่าเป็นของไม่จริง แต่การที่เราคิดนึกว่ามันเป็นกายใจเราจริงๆ นั้น เกิดจากการหลงผิด หลงไปคิดไปนึกว่าร่างกายคือตัวเรา หรือเราเป็นเจ้าของร่างกาย เมื่อใดก็ตามที่ใจเราเข้าใจว่าใจมีจริงๆ กายเรามีจริง เมื่อนั้นก็ทำให้จิตใจเราขาดอิสระภาพ และมีชีวิตอยู่อย่างนักโทษที่จองจำด้วยโซ่ตรวนที่มองไม่เห็น เป็นนักโทษที่ถูกจองจำด้วยความหลงผิดของเราเองแท้ๆ ทั้งนี้ ส่งผลให้จิตใจต้องคิดนึกสับสนวุ่นวาย แล้วพากายให้ไปไขว้คว้าแสวงหาสิ่งภายนอกที่บางคนเรียกว่า “แสวงหาตนเอง” หรือ “ค้นหาตนเอง” ด้วยการดำดิ่งลึกลงไปใน “ความคิดและความรู้สึก” ของตนเอง ทั้งๆ ที่มันเป็นตนเองที่ไร้ตนเอง คือตนเองที่เกิดจากความรู้สึกนึกคิด การค้นหาตนเองจึงพบแต่ความว่างเปล่า เพราะตนเองก็หามีตนเองไม่ ผู้ที่ค้นหาตนเองจึงเปรียบประดุจดั่งผู้ที่ขับขี่รถยนต์ เพื่อแสวงหารถยนต์ที่กำลังขับอยู่ มื่อเป็นเช่นนี้การแสวงหาตนเอง หรือการค้นหาตนเอง จึงเปรียบเสมือนมายาบุรุษคนหนึ่งค้นหามายาบุรุษอีกคนหนึ่ง ในที่สุดสิ่งที่เขาต้องประสบก็คือ “หลงทาง” หรือไปเจอ “ทางตัน” ในระหว่างการแสวงหานั้น คือไม่ได้รับผลใดๆ จากการค้นหา หรือจากการแสวงหานั้น นั่นจึงเป็นเรื่องที่น่าขบขันเสียเหลือเกิน ที่ผู้คนส่วนใหญ่ต่างนั่งอยู่ในรถยนต์ แล้วก็หลงไปแสวงหารถยนต์ หรือขณะที่ลอยคออยู่ในน้ำแล้วแสวงหาน้ำ
การแปล กรุณารอสักครู่..
ผลลัพธ์ (อังกฤษ) 2:[สำเนา]
คัดลอก!
อันสรรพสิ่งบนโลกจะมีความหมายหรือไม่มีความหมาย ล้วนเกิดจากการที่จิตไปรู้สึกว่ามีหรือไม่มี แล้วสมมติสิ่งที่รู้สึกว่ามีและไม่มีขึ้นว่าเป็นอะไร มีค่ามีราคาหรือไม่มีค่าไม่มีราคา เป็นของจริงหรือของปลอม

เมื่อเกิดความรู้สึกนึกคิดว่ามีว่าเป็นก็เข้าไปยึดสิ่งนั้น การที่จิตยึดสิ่งต่างๆ ก็เพราะความหลงหรือเพราะความไม่รู้หรือรู้ผิด ดังนั้น เมื่อใดที่จิตไม่เข้าไปยึดในสิ่งใด ก็จะไม่ทำให้เกิดความรู้สึกว่าเกิดมีไ...ด้มีเสียต่อสิ่งนั้น ประดุจดั่งเมื่อเรานอนหลับแล้วจิตเกิดการปรุงแต่งขึ้นขณะที่กำลังหลับ ด้วยการฝันเห็นถึงเรื่องราวในอดีต ปัจจุบัน แม้เกิดความฝันถึงเรื่องราวต่างๆ ที่ไม่เคยจดจำมาหรือเคยคิดนึกมาก่อนก็ตาม

ทันทีที่ตื่นจากความฝันเรื่องราวต่างๆ ก็มลายหายไปสิ้น มนุษย์ต่างรับรู้ว่าความฝันเป็นสิ่งไม่จริง ด้วยเหตุนี้ขณะที่นอนหลับสนิท และฝันถึงเรื่องราวต่างๆ เรื่องราวต่างๆ นั้น ผู้ที่ฝันก็ไม่ได้เห็นว่าความฝันของตนเป็นเรื่องจริงจังอะไร ว่าไปแล้วความฝันอาจจะเกิดจากประสบการณ์ ที่ประสบพบเห็นมาขณะที่ยังไม่หลับ หรือเกิดจากเรื่องราวที่จิตสร้างขึ้นมาใหม่ที่เรียกว่า “จินตนาการ”

กระนั้น ใครๆ ก็ทราบดีว่าความฝันไร้สาระยึดถือไม่ได้ เหมือนกับการดูหนังดูละคร ทุกคนเห็นว่าเรื่องราวที่แสดงเป็นละคร คือเป็นเรื่องราวที่คน (นักประพันธ์) แต่งขึ้น จึงไม่ยึดถือว่าเป็นเรื่องจริง แต่ในทางโลกุตรธรรมชีวิตของผู้คนก็เหมือนกับเรื่องราวในละคร คือเป็นเรื่องไม่จริง ที่ว่าไม่จริงเพราะแต่ละขณะ แต่ละนาทีแต่ละชั่วโมงแต่ละวัน ต่างผันแปรเปลี่ยนแปลงไป ไม่มีอะไรอยู่คงทนถาวรประการหนึ่ง อีกประการหนึ่งนั้น สรรพสิ่งเป็นมายามิอาจจะยึดถือสิ่งใดๆ มาเป็นสิ่งที่เป็นสาระใดๆ ได้

แน่นอนเมื่อใดที่เรายึดถือว่า เราเป็นคนหรือเป็นมนุษย์จริงๆ ร่างกายนี้เป็นของเราจริงๆ และเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับชีวิตของเราก็เป็นเรื่องราวจริงๆ เราก็ต้องรับกรรมหรือรับผลของการกระทำต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกรรมดีหรือกรรมไม่ดีแล้ว ก็จะทำให้จิตใจเป็นทุกข์หรือเครียดหรือกลุ้ม

เหนืออื่นใดหากไม่กำหนดรู้ด้วยสติและไม่มีปัญญา จะไม่เห็นความคิดและไม่รู้ที่มาของความคิด แต่ไปสำคัญมั่นหมายว่าเราคิด ทำให้เราถูกสั่งให้ทำตามความคิดตลอดเวลา เฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคิดมาก ก็สับสนมาก และเป็นทุกข์ใจแท้ที่จริงไม่มีใครเป็นผู้ทุกข์ เพราะทุกสิ่งที่ปรากฏนั้นเป็นธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม อากาศ วิญญาณ ตามสมมติ ในขณะที่รูปกระทบนาม หรืออารมณ์กระทบจิต แล้วเกิดอาการหรือปรากฏการณ์นั้นๆ ขึ้น ส่งผลให้ให้จิตสำคัญมั่นหมายว่าเป็นตนเป็นของตน ซึ่งก็เป็นแต่เพียงความรู้สึกไม่ใช่เป็นจริงๆ ตามที่เราคิดนึก

เมื่ออนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ปรากฏให้เห็นด้วยตาปัญญา จึงรู้ว่าไม่มีตัวตนในขันธ์๕ และยึดถือไม่ได้และผู้ยึดถือก็ไม่มี เพราะความคิดหรือจิตเป็นอนัตตา

ดังนั้น ขันธ์๕ ก็เลยมีไม่จริงเป็นแต่เพียงสมมติสัจจะ คือความจริงโดยสมมติเท่านั้น แบบเดียวกับคลื่นกระทบฝั่งลูกแล้วลูกเล่า มีแล้วหายไปเหมือนกับชีวิตคนโดยสมมติ จึงไม่มีใครเกิดและไม่มีใครตาย นอกจากธรรมชาติที่มาประชุมกัน แล้วเปลี่ยนแปลงไปไหลไป ตามกฎธรรมชาติก้อนแล้วก้อนเล่า

ถ้ารู้เช่นนี้และปฏิบัติให้เห็นสัจจธรรมจริงๆ จะไม่กลัวตาย และไม่ถามว่าตายแล้วจะไปไหน เพราะไม่มีผู้มาและไม่มีผู้ไป ถ้าการดับของ ขันธ์ ๕ เป็นไปอย่างบริสุทธิ์ ไม่มีกิเลสหรืออวิชชาเหลืออยู่ จะไม่มีการเวียนมาของธาตุ ขันธ์ ๕ ให้เป็นทุกข์อีก จึงต้องเจริญสติปัญญาให้แหลมคมและแข็งแกร่ง เพื่อดับเหตุ ทำลายเหตุ คืออวิชชา ตัณหา อุปาทาน และกรรมให้สิ้นไป เพราะเห็นแจ้งซึ่งสัจจธรรมที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน

เมื่อเห็นแจ้งแทงตลอดว่าทุกสิ่งเป็นอนิจจัง ต้องเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา และทุกสิ่งทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ (ทุกขัง) อีกทั้งยังไร้ตัวตนหรือกลับไปสู่ความว่างเปล่าที่เรียกว่า สุญญตา หรือ อนัตตา ก็จะทำให้จิตหรือไม่ทำให้จิตเกิดความผูกพันกับสิ่งใดๆ

สรุปว่าการที่จิตหมดการยึดถือ หรือหมดการผูกพันในสภาวะธรรมทั้งปวง ก็เพราะจิตคิดนึกว่าไม่มีอะไรจริงในโลกนี้ นอกจากกฎธรรมชาติที่เป็นไปตามกฎของสรรพสิ่ง ที่ว่า สิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นจากเหตุปัจจัย (อิทัปปัจจยตา) ที่ครอบคลุมปรากฏการณ์ทั้งหลายโดยแสดงออกด้วย อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

เมื่อหมดการเรียนรู้ก็จะหยุดดู หยุดรู้ หยุดหมุนไปตามกระแสโลกและกระแสธรรม ออกมาเหนือโลก เหนือธรรม เหนือสุข เหนือทุกข์ เหนือความยึดมั่นถือมั่นใดๆ เป็นความรู้สึกปลี้ๆ เปล่าๆ ที่ไม่เป็นอะไร ไม่เกิดไม่ดับ มีแต่รู้อยู่ เห็นอยู่ ซึ่งเป็นความรู้ความเห็นต่อสรรพสิ่งว่า เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้

เมื่อกล่าวถึงที่สุดแล้วการรู้แจ้งที่เรียกว่าการบรรลุธรรมนั้น คือการรู้แจ้งต่อสภาวะกายและใจ ว่าล้วนเป็นทั้งสิ่งปรุงแต่งและไม่ปรุงแต่ง และกายกับใจเป็นมายาภาพเป็นของไม่เที่ยงแท้และแน่นอนว่าเป็นของไม่จริง แต่การที่เราคิดนึกว่ามันเป็นกายใจเราจริงๆ นั้น เกิดจากการหลงผิด หลงไปคิดไปนึกว่าร่างกายคือตัวเรา หรือเราเป็นเจ้าของร่างกาย

เมื่อใดก็ตามที่ใจเราเข้าใจว่าใจมีจริงๆ กายเรามีจริง เมื่อนั้นก็ทำให้จิตใจเราขาดอิสระภาพ และมีชีวิตอยู่อย่างนักโทษที่จองจำด้วยโซ่ตรวนที่มองไม่เห็น เป็นนักโทษที่ถูกจองจำด้วยความหลงผิดของเราเองแท้ๆ

ทั้งนี้ ส่งผลให้จิตใจต้องคิดนึกสับสนวุ่นวาย แล้วพากายให้ไปไขว้คว้าแสวงหาสิ่งภายนอกที่บางคนเรียกว่า “แสวงหาตนเอง” หรือ “ค้นหาตนเอง” ด้วยการดำดิ่งลึกลงไปใน “ความคิดและความรู้สึก” ของตนเอง ทั้งๆ ที่มันเป็นตนเองที่ไร้ตนเอง คือตนเองที่เกิดจากความรู้สึกนึกคิด การค้นหาตนเองจึงพบแต่ความว่างเปล่า เพราะตนเองก็หามีตนเองไม่ ผู้ที่ค้นหาตนเองจึงเปรียบประดุจดั่งผู้ที่ขับขี่รถยนต์ เพื่อแสวงหารถยนต์ที่กำลังขับอยู่

มื่อเป็นเช่นนี้การแสวงหาตนเอง หรือการค้นหาตนเอง จึงเปรียบเสมือนมายาบุรุษคนหนึ่งค้นหามายาบุรุษอีกคนหนึ่ง ในที่สุดสิ่งที่เขาต้องประสบก็คือ “หลงทาง” หรือไปเจอ “ทางตัน” ในระหว่างการแสวงหานั้น คือไม่ได้รับผลใดๆ จากการค้นหา หรือจากการแสวงหานั้น

นั่นจึงเป็นเรื่องที่น่าขบขันเสียเหลือเกิน ที่ผู้คนส่วนใหญ่ต่างนั่งอยู่ในรถยนต์ แล้วก็หลงไปแสวงหารถยนต์ หรือขณะที่ลอยคออยู่ในน้ำแล้วแสวงหาน้ำ
การแปล กรุณารอสักครู่..
ผลลัพธ์ (อังกฤษ) 3:[สำเนา]
คัดลอก!
The things on earth has a meaning or meanings. Are caused by the mind to feel that there is or not. And assume the feeling that there is no matter what The price or value no price is real or fake

.When the feeling that there is a will to hold that the mind based on things. Because of passion or because of ignorance or wrong. So when the mind not to take in anything. It will not cause the feeling that there are t.... with has broken to that. Like a when we are asleep, and the mind's cooked up while I was sleeping. With the dream to see the story of the past, present, even what the dream stories. Never remember or ever thinking before

.As soon as the wake up from the dream stories had been the end. The recognition of human dream is not true. Hence while asleep and dreaming stories stories.That dreams may be caused by experience. That be seen while still asleep. Story or caused by mental rebuilt called "imagination"
.
.Nonetheless, they are well aware that ridiculous dream hold not like the movie theater. All that show stories drama is a story (novelist) dress up, so don't believe that's true.
การแปล กรุณารอสักครู่..
 
ภาษาอื่น ๆ
การสนับสนุนเครื่องมือแปลภาษา: กรีก, กันนาดา, กาลิเชียน, คลิงออน, คอร์สิกา, คาซัค, คาตาลัน, คินยารวันดา, คีร์กิซ, คุชราต, จอร์เจีย, จีน, จีนดั้งเดิม, ชวา, ชิเชวา, ซามัว, ซีบัวโน, ซุนดา, ซูลู, ญี่ปุ่น, ดัตช์, ตรวจหาภาษา, ตุรกี, ทมิฬ, ทาจิก, ทาทาร์, นอร์เวย์, บอสเนีย, บัลแกเรีย, บาสก์, ปัญจาป, ฝรั่งเศส, พาชตู, ฟริเชียน, ฟินแลนด์, ฟิลิปปินส์, ภาษาอินโดนีเซี, มองโกเลีย, มัลทีส, มาซีโดเนีย, มาราฐี, มาลากาซี, มาลายาลัม, มาเลย์, ม้ง, ยิดดิช, ยูเครน, รัสเซีย, ละติน, ลักเซมเบิร์ก, ลัตเวีย, ลาว, ลิทัวเนีย, สวาฮิลี, สวีเดน, สิงหล, สินธี, สเปน, สโลวัก, สโลวีเนีย, อังกฤษ, อัมฮาริก, อาร์เซอร์ไบจัน, อาร์เมเนีย, อาหรับ, อิกโบ, อิตาลี, อุยกูร์, อุสเบกิสถาน, อูรดู, ฮังการี, ฮัวซา, ฮาวาย, ฮินดี, ฮีบรู, เกลิกสกอต, เกาหลี, เขมร, เคิร์ด, เช็ก, เซอร์เบียน, เซโซโท, เดนมาร์ก, เตลูกู, เติร์กเมน, เนปาล, เบงกอล, เบลารุส, เปอร์เซีย, เมารี, เมียนมา (พม่า), เยอรมัน, เวลส์, เวียดนาม, เอสเปอแรนโต, เอสโทเนีย, เฮติครีโอล, แอฟริกา, แอลเบเนีย, โคซา, โครเอเชีย, โชนา, โซมาลี, โปรตุเกส, โปแลนด์, โยรูบา, โรมาเนีย, โอเดีย (โอริยา), ไทย, ไอซ์แลนด์, ไอร์แลนด์, การแปลภาษา.

Copyright ©2024 I Love Translation. All reserved.

E-mail: